ชีวิตจริงยิ่งกว่านิยาย สำหรับอดีตนักแสดงรุ่นใหญ่มากฝีมือ “สีดา พัวพิมล” ออกมาเผยชีวิตสุดรันทดในรายการ“คนดังเคลียร์” หลังจากมีเรื่องขึ้นโรงขึ้นศาลคดีฉ้อโกงก็เงียบหายไป คราวนี้กลับมาพร้อมหลักฐานที่สามารถชนะคดีได้ทั้ง 3 ศาล แต่ถึงกับน้ำตาตกเมื่อชีวิตต้องมาเป็นเด็กเสิร์ฟแลกข้าวกิน บางวันมีเงินติดตัวแค่10 บาท
อัพเดทเรื่องคดีก่อนนะ ตอนนี้เป็นยังไงบ้าง ?
“ในส่วนของคดี ตอนนี้จบแล้ว เราชนะทั้ง 3 ศาล ศาลสุดท้ายจบเมื่อไม่กี่เดือนที่ผ่านมานี้เอง ตอนนี้รู้สึกสบายใจขึ้น อย่างน้อยเราก็ได้พิสูจน์ว่าเราไม่ได้โกงใคร ไม่ได้หลอกลวงใคร เราทำงานจริงๆ เราสู้มาหลายปีอยู่นะคะ”
ตอนนี้ชีวิตเป็นยังไงบ้าง ?
“อย่างที่เห็นคะ ไม่มีอะไรทำ ใช้ชีวิตอย่างเรียบง่ายของคนๆ หนึ่ง (เสียงสั่น) ไม่พอใช้ก็ต้องพอค่ะ เราต้องอยู่ให้ได้ ชีวิตตอนนี้ลำบากกว่าที่เคยเป็นอยู่ เพราะมันไม่มีงาน ไม่มีรายได้เข้ามา”
กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นหลังจากนี้เราจะทำยังไงต่อ
“เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเราไปโทษอะไรไม่ได้ เราต้องโทษตัวเราเองที่เราคิดผิด ไปหมุนเงินผิด ผิดที่ผิดทาง ถ้าเราคิดไม่ผิดเดินในทางที่ถูกต้องไม่ไปกู้เงินนอกระบบ ปัญหาก็คงไม่เกิดแบบนี้ แล้วเราก็จะไม่ไปรบกวนอะไรใคร เราคิดว่าการแก้ปัญหาของเราเป็นการแก้ปัญหาแบบสั้นๆ แต่จริงๆ แล้วไม่ใช่เลย มันเป็นดินพอกหางหมู”
ตอนนี้ยังมีหนี้อยู่อีกมั้ย ?
“ยังมีค่ะ อยากจะหมดหนี้เหมือนกัน แต่มันไม่มีอะไรสร้างตัวเองขึ้นมาใหม่ได้ ยังคิดอะไรไม่ออก หนี้ตอนนี้จะว่าเยอะมันก็ไม่เยอะ จะว่าน้อยมันก็ไม่น้อย แต่มันก็เยอะสำหรับชั่วโมงนี้ คิดตลอดเวลาว่าอยากจะหมดหนี้ ไม่อยากทำบาป”
ได้ข่าวว่ามีเงินติดตัวอยู่แค่ 10 บาท ?
“ถ้าจะให้พูดจริงๆ ช่วงที่หายไปไม่มีใครติดต่อเข้ามา ไม่มีการช่วยเหลือจากทางไหนเลย เราไม่ได้ออกไปของานใคร เพราะไปก็ต้องมีค่ารถ มีค่าใช้จ่าย มันลำบาก แล้วเราคิดว่ากลัวจะไปรบกวนเขา มันคิดเยอะ แต่ตอนนี้สบายใจขึ้นที่ว่าตราบาปที่เรามีมาในชีวิตเรามันหลุดพ้นแล้ว ที่ผ่านมามันพังหมดทั้งชีวิต ทั้งชื่อเสียงหลายอย่าง”
หลังจากนี้ วางแผนยังไงบ้าง ?
“ได้แต่คิดนะ การวางแผนมันต้องมีอยู่แล้วแหละ เพราะเราก็อยากทำมาหากินอยากหมดหนี้ ไม่อยากเป็นหนี้ใคร ตราบใดที่เรายังมีชีวิตอยู่ เรามั่นใจว่าเราเป็นคนสู้ชีวิต เป็นคนขยันทำงานอยู่แล้ว ตอนนี้เราใช้ชีวิตคนเดียว ญาติก็มีนะแต่เราไม่อยากจะไปรบกวนใคร
เพราะว่ามันมองหน้าใครไม่ติด จะโทรหาใครก็กลัว คิดว่าเราจะรบกวน จะไปพึ่งอะไรเขา เราก็อยู่ของเราแบบนี้ มีอะไรก็กินไป กินไข่ทุกวันจนจะขันได้แล้ว ที่อยู่ตอนนี้เป็นบ้านก็อาศัยเขาอยู่ ไม่ใช่บ้านเดิม บ้านเดิมโดนเขายึดไปแล้ว ไม่ได้เช่าหรอกค่ะ เพราะว่าคงไม่มีเงินเช่า”
ได้ข่าวว่าไปเสิร์ฟอาหาร ?
“อันนี้เราไปช่วยเขาคะ ไปช่วยเขาด้วยใจ เมื่อก่อนเขาเคยทำงานอยู่กับเรา สมัยก่อนเราทำร้านอาหารในช่วงที่เราตกทุกข์ได้ยาก เขาเป็นคนเดียวที่เพียรตามาหาเราว่า เราทุกข์ยากยังไง เขาพยายามหาเราตามทุกข์สุข เรามีความรู้สึกว่าเราซึ้งใจ รู้ว่าเขาทำร้านอาหารเราอยู่ว่างๆ ก็ไปช่วยเขา ไม่ได้ได้มีค่าจ้างอะไร เขาก็มีน้ำใจ ให้เรากินอย่างดีแบบนี้แหละคะ เรามีความรู้สึกว่าเราได้จากเขาเยอะมากเหลือเกิน “
น้อยใจในโชคชะตาบ้างมั้ย
“จะว่าน้อยใจในชะตาของตัวเองมั้ย ไม่นะ เราไปลิขิตชีวิตของตัวเราเองมากกว่า แล้วเราไปโทษใครก็ไม่ได้ ต้องโทษตัวเอง เราต้องเตือนตัวเองว่าต้องรู้จะเข็ดและรู้จักจำ แล้วจะไม่ทำมันอีก ตอนนี้ก็ไม่รู้จะบอกใครยังไงดี เพราะว่าหลักฐานมันก็โชว์อยู่แล้ว เราชนะทั้ง 3 ศาล ที่ผ่านมาเราหมุนเงินผิดที่ผิดทาง ก็กลายเป็นปัญหาที่บานปลาย”
มีโอกาสที่กลับมาทำงานในวงการบันเทิงมั้ย ?
“ถามว่าทุกคนก็อยากจะได้โอกาส ตัวเราเองก็อยากได้โอกาส แต่จะได้รับโอกาสนั้นหรือเปล่าไม่รู้ ตอนนี้ไม่ได้ทำงานอะไร เงินที่ใช้จ่ายในชีวิตประจำวันก็ไม่มี ลูกสาวส่งมาให้บ้างนิดหน่อย เขาไม่ได้ทำอะไรเพราะว่าสามีเขาเลี้ยง เราเกรงใจเขาเหมือนกัน เพราะว่าช่วงที่เราคิดผิดหมุนเงินผิดเราก็ไปทำให้เขาเดือดร้อน
เราก็รู้สึกผิด เขาให้นิดๆ หน่อยๆ เราก็ไม่ได้ไปเรียกร้องอะไร เท่าไหร่ก็เท่านั้น เงินเราไม่ได้ใช้อะไรมากมายใช้แค่ซื้อของจำเป็น ซื้อยารักษาตัวบ้าง มีอะไรก็ทานไป เราทานง่ายอยู่แล้ว ประทังชีวิตไว้ดีกว่ามันจะได้มีสมองไว้ต่อสู้ คิดอย่างเดียวค่ะ อยากหมดหนี้ ไม่อยากเป็นหนี้ใคร ไม่อยากทำบาป หนี้สินตอนนี้รวมๆ ก็เป็นล้าน ยอมรับว่าเครียดค่ะ เราอยากให้เขารู้ว่าเราคิดตลอดเวลาว่าจะใช้หนี้พวกคุณให้หมดให้เราได้รับโอกาสก่อนอะไรก็ได้”
ชีวิตตอนนี้ลำบากขนาดไหน ?
“ก็อยู่ได้ อยู่ได้อย่างที่เห็นนี่แหละคะ ป่วยไข้ก็มีบ้างเพราะว่าตอนนี้อายุ 60 เต็มแล้ว เป็นคนคิดอะไรเยอะอยู่คนเดียวก็คิดไปเรื่อย เรารู้สึกโดดเดียวจากที่มีเพื่อนเยอะ มีบริวารเยอะ เดี๋ยวนี้ไม่มีใครสักคน แต่เราต้องอยู่ให้ได้ ถามว่าท้อมั้ย มันก็มีบ้าง ถ้าใครเจอปัญหาแบบนี้ แต่ไม่ถอยเพราะว่าเรามีหนึ่งสมองสองมือ อยู่ที่คิดจะลุกขึ้นมาทำอะไร เราทำอะไรก็ได้ขยันทำงานมาตั้งแต่สาวๆ แต่ไม่น่าจะผิดพลาดเอาตอนบั้นปลายชีวิตเลยเนอะ”