มนุษย์พยายามจะหาคำตอบด้วยการวิจัยหรือทดลอง เพื่อให้ได้มาซึ่งคำตอบ แต่บางครั้ง การทดลองมันช่างดูโหดร้ายในสายตาเรา ลองไปดูกันครับว่า 10 งานวิจัยไหนบ้างที่เรียกว่าสุดโหด

R01

10. Stanford Prison Experiment : ผู้คุมกับคนคุก
การทดสอบจิตวิทยาของมหาวิทยาลัยสแตนด์ฟอร์ด เป็นการจำลองสถานการณ์ในคุก โดยแบ่งนักศึกษาอาสาสมัครจำนวน 20 คน ออกเป็น 2 กลุ่ม ให้รับบทบาทสมมุติที่แตกต่างกัน กลุ่มแรกเป็นผู้คุมนักโทษ และกลุ่มที่สองเป็นนักโทษ โดยมีข้อแม้ว่าห้ามใช้ความรุนแรงใดๆ ทั้งสิ้น ไม่อย่างนั้นจะถูกคัดออก และชวดเงินค่าจ้างไปโดยปริยาย กลุ่มผู้ถูกทดลองทั้ง 2 กลุ่มนั้นไม่เคยรู้จักกันมาก่อน ซึ่งก่อนงานวิจัยก็คุยเล่นเหมือนเพื่อนกันปกติดี เมื่อถึงคราวทดสอบ ทุกคนสวมบทบทได้ราบรื่น แต่มันคงจะดีถ้าราบรื่นในแบบปกติ แต่นี่ราบรื่นแบบคนคุกกันเลยทีเดียว ทำให้งานทดลองต้องหยุดลงภายในเวลาเพียง 6 วัน เหตุเพราะอาสาสมัครอินกับบทเกิ๊น จนใช้ความรุนแรงที่อาจทำให้เกิดอันตรายโดยไม่สามารถควบคุมได้ และหนึ่งในอาสาสมัครที่รับบทผู้คุมก็กลายเป็นคนนิสัย Bad แบบสุดๆ ถึงขนาดซ้อมนักโทษจำลองจนช้ำเลยทีเดียว

R02

9. The Monster Study : งานวิจัยติดอ่าง
งานทดลองการพูดติดอ่างในเด็กของมหาวิทยาลัยไอโอวา กลุ่มผู้ถูกทดลองคือเด็กกำพร้า อายุ 5-15 ปี โดยแบ่งเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มแรกถูกทดลองด้วยคำพูดเยินยอ ชมเชย สรรเสริญ ส่วนอีกกลุ่มได้ฟังแต่คำหยาบ ถากถาง ทับถม จากการทดลองพบว่าเด็กที่ฟังแต่คำชมเชยสามารถพูดจาคล่องแคล่ว ไม่ติดขัด จากต่างอีกกลุ่มกลายเป็นเด็กเก็บกด มีปัญหา พูดจาติดขัด และมีผลต่อการใช้ภาษาไประยะหนึ่ง ทำให้สังคมประณามจนมหาวิทยาลัยต้องออกมาขอโทษขอโพยกันยกใหญ่ และจ่ายค่าเสียหายให้กับเด็ก 6 คน ที่ถูกทดลองด้วยคำพูดหยาบๆ นั้น

R03

8. Project 4.1 : ปล่อยเกาะมรณะ
งานทดลองการศึกษาทางการแพทย์ของรัฐบาลสหรัฐอเมริกา วิธีการคือ นำผู้ถูกทดลองไปปล่อยบนเกาะมาร์แชล (Marshalls) เกาะที่ถูกสารกัมมันตภาพรังสีจากเหตุการณ์ “แคสเซิลบราโว” (Castle Bravo) การทดสอบอาวุธนิวเคลียร์ในปี 1954 เกิดผิดพลาดเพราะการระเบิดแรงกว่าที่คาดการณ์ไว้ แถมเกาะนี้ยังเต็มไปด้วยสารกัมมันตภาพรังสี ผู้ถูกทดลองจะได้รับสารปริมาณหนึ่งๆ อย่างต่อเนื่อง จนครบระยะเวลาทดลองและเริ่มสังเกตอาการ โดยเริ่มแรกยังคงเดินเหินได้ตามปกติ สุขภาพแข็งแรง เฮฮาปาร์ตี้ตามประสา แต่ไม่กี่ปีต่อมา ผู้ถูกทดลองได้รับผลกระทบจากสารกัมมันตภาพรังสี ทั้งแท้งลูก มะเร็งต่อมไทรอยด์ และยังส่งผลไปถึงลูกที่เกิดมาผิดปกติอีกด้วย ซึ่งแน่นอนว่างานทดลองนี้ก็ถูกประณามไปตามระเบียบ

R04

7. Project MK ULTRA : ยาควบคุมมนุษย์
โครงการเอ็มเคอัลทรา หรือ CIA mind-control research program งานทดลองการควบคุมพฤติกรรมมนุษย์ของ CIA (Central Intelligence Agencies) เพื่อรับมือกับประเทศที่เป็นศัตรูต่ออเมริกา ที่กลัวว่าประเทศเหล่านั้นจะเล่นของใส่ เลยต้องหาทางกันไว้ก่อนที่จะโดนของ ทดลองด้วยการนำนักโทษยาเสพติดมาฉีดยา เพื่อดูการเปลี่ยนแปลงจิตใจและสมอง ต่อมาก็ทดลองฉีดยาหลอนประสาท LSD (Lysergic acid diethylamide) คราวนี้มีผู้ถูกทดลองทุกระดับ ตั้งแต่รากหญ้าจนถึงยอดอ่อน ทั้งคนในประเทศและชาวต่างชาติ แต่รัฐบาลก็ออกมาปฏิเสธว่าไม่ได้ท้ำ… ไม่ได้ทำ! จากนั้นในปี 1973 CIA ถูกสั่งให้ทำลายเอกสารทั้งหมด และไฟล์โครงการนี้ก็หายวับ จับคนทำก็ไม่ได้เพราะหลักฐานไม่เพียงพอ

R05

6. The Aversion Project : โปรเจ็กต์เปลี่ยนเพศ
การทดลองของหน่วยงานในแอฟริกาใต้ เหตุเพราะการแบ่งแยกสีผิว งานนี้คนผิวขาวเลยโดนล้างแค้น ด้วยการบังคับทหารผิวขาวที่เป็นรักร่วมเพศ ทั้งเกย์และเลสเบี้ยน มาเปลี่ยนเพศกันซะเลย โดยใช้สารเคมีที่ทำให้หมดอารมณ์ทางเพศและเป็นหมัน ช็อตไฟฟ้า เปลี่ยนฮอร์โมน และอีกสารพัดวิธี ซึ่งภายหลัง คนที่ถูกทดลองก็กลายเป็นคนมีอาการทางจิต ติดยา และเกลียดแม้กระทั่งอาการเบี่ยงเบนทางเพศของตัวเอง 9hoเหตุของเรื่องทั้งหมดมันเริ่มมาจากคนดำเกลียดขาว และคนขาวก็เกลียดคนดำแท้ๆ เอาเป็นว่ารักๆ กันไว้ดีกว่าเนอะ

R06

5. North Korean Experimentation : ยัดกะหล่ำปลี+รมก๊าซ
มันคือการทดลองในค่ายกักกันของเกาหลีเหนือสุดโหด ที่ใกล้เคียงการทดลองของนาซีและญี่ปุ่นในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 โดยนักโทษที่หลบหนีออกมาได้เล่าว่า ผู้หญิงที่สุขภาพดีจะถูกคัดเลือกออกมา และบังคับให้กินกะหล่ำปลีที่ปนเปื้อนสารพิษจำนวนมาก หลังจากนั้นพวกเขาจะส่งเสียงร้อง อาเจียนเป็นเลือด ทั้งทางปากและทวารหนัก และตายลงไปในที่สุด นอกจากนั้นยังมีการทดลองฉีดสารพิษเข้าไปในห้องรมก๊าซ และดูผลการทดลองผ่านกระจก แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น รัฐบาลเกาหลีเหนือก็ออกมาปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา บอกว่าฉันไม่เคยทำอะไรบ้าๆ แบบนี้หรอก จบป่ะ!

R07

4. Poison laboratory of the Soviets : ทดลองพิษล่องหน
การทดลองวิจัยเกี่ยวกับสารพิษของหน่วยงานตำรวจลับในโซเวียต พวกเขาได้ทำการทดลองกับนักโทษ ด้วยการบังคับให้ลิ้มรสสารพิษ ทั้งสูดทั้งกิน ซึ่งสารพิษที่นำมาทดลองนั้นมีหลากหลายชนิด คนที่โดนเข้าไปจะมีร่างกายที่เปลี่ยนไป และกลับบ้านเก่าภายใน 15 นาที โดยเป้าหมายสูงสุดของการทดลองชิ้นนี้ ก็เพื่อเพื่อจะหาสารพิษชนิดที่ไม่มีสี ไม่มีกลิ่น ไม่มีรส และจะได้นำมาใช้จู่โจมฝ่ายตรงข้ามได้ในวันข้างหน้านั่นเอง

R08

3. Tuskegee Syphilis Study : ทดลองซิฟิลิส
การทดลองซิฟิลิส โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ของสหรัฐอเมริกาในประเทศตุรกี เป็นการทดลองยาวนานกว่า 40 ปี เริ่มด้วยการฉีดยาให้กับผู้ทดลองที่เป็นชาวผิวดำ โดยไม่บอกว่าเป็นยารักษาโรคอะไร และทำเพื่ออะไร แน่นอนว่า ชาวบ้านก็เข้าใจผิดว่าตัวเองได้รับการรักษาจากหมอ แต่ใครจะรู้ว่ามันคือการทดลองซิฟิลิส หนังสือพิมพ์นิวยอร์กไทม์ ได้ออกมาประณามว่า มันเป็นการทดลองที่ไม่มีการให้ยารักษา ที่ยาวนานที่สุดในประวัติศาสตร์วงการแพทย์ ทั้งยังเป็นการทดลองที่เสียเปล่าและไม่เป็นธรรม เพราะเลือกทดลองเฉพาะกับชาวผิวดำ แถมยังอยู่ในพื้นที่ยากจนอีก จนในที่สุดประธานาธิบดีต้องออกมาแถลงขอโทษต่อผู้ถูกทดลอง (ที่ยังมีชีวิตอยู่) ชดใช้ความเสียหายให้ และออกกฎหมายควบคุมดูแลการวิจัยในประเทศสหรัฐอเมริกา (National Research Act)

R09

2. Unit 731 : หน่วยปฏิบัติการ 731
การทดลองอาวุธชีวภาพของญี่ปุ่นในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 วัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาอาวุธชีวภาพไว้ใช้ในสงคราม เริ่มที่หน่วยปฏิบัติการ 731 ถูกส่งมาทำภารกิจ โดยเลือกเมืองฮาร์บิน ประเทศจีนเป็นเป้าหมาย แล้วอย่าคิดว่าพี่แกจะเดินเข้ามาแบบโต้งๆ นะ งานนี้ต้องใช้วิชานินจาแปลงตัวกันซักหน่อย เพราะหน่วยนี้มาในนาม ”หน่วยงานพิเศษเพื่อการศึกษาภูมิคุ้มกันและการบำบัดน้ำเสีย” จากนั้นก็จับชาวจีนหรือรัสเซียมาเป็นเหยื่อทดลอง ซึ่งมีสารพัดวิธี ทั้งผ่ามนุษย์โดยไม่ใช้ยาสลบ, ใส่สารพิษที่คิดค้นมาใหม่ลงในอาหารและน้ำ, บังคับให้ผู้หญิงร่วมเพศกับผู้ชายที่เป็นโรคซิฟิลิส เพื่อศึกษาเชื้อซิฟิลิสที่รุนแรงที่สุด, จับเหยื่อเข้าไปในห้องทดลอง แล้วอัดความดันหรือดูดอากาศออกจนร่างกายระเบิด, จับเปลือยร่างแช่ในน้ำอุณหภูมิติดลบ, ตัดอวัยวะออก เช่น กระเพาะ แล้วนำลำไส้ต่อตรงมาที่หลอดอาหาร เพื่อดูว่าถ้าไม่มีกระเพาะคนจะอยู่ได้หรือเปล่า และในท้ายที่สุด ซากศพของผู้ถูกทดลองจะถูกเก็บกวาด ด้วยการโยนเข้าเตาเผาด้านหลังของหน่วยปฏิบัติการนั่นเอง!

R10

1. Nazi Experiments : ค่ายทดลองของนาซี
การทดลองทางการแพทย์ของเยอรมนีในค่ายกักกันทั่วทั้งยุโรป โดยเฉพาะค่ายเอาชวิตซ์ (Auschwitz) และดาเชา (Dachau) เพื่อคิดค้นยา และรักษาทหารเยอรมันจากโรคและอันตรายในสงคราม ซึ่งเหยื่อเป็นนักโทษชาวยิวและชาวรัสเซีย ได้รับเงินสนับสนุนจากกองกำลังทหารนาซี โดยแพทย์ผู้ทำการทดลองไม่ได้ถูกข่มขู่ แต่ทำไปเพราะอยากรู้ผลลัพธ์ในการทดลอง
โครงการนี้ได้ทำการทดลองหลายอย่าง เช่น สร้างสภาวะความกดดันอากาศลดต่ำโดยฉับพลัน (Decompression) ที่เกิดขึ้นเมื่อเครื่องบินถูกยิง ความกดอากาศในห้องนักบินจะลดต่ำอย่างฉับพลัน โดยนักโทษผู้ถูกทดลอง จะถูกนำตัวไปยังห้องที่มีความกดอากาศต่ำและเฝ้าสังเกตการณ์, การนำเหยื่อที่ใส่ชุดนักบินไปแช่ในอ่างน้ำเย็นให้หนาวจนแข็ง แล้วให้ความอบอุ่นด้วยวิธีการต่างๆ เพื่อศึกษาการทำให้นักบินอบอุ่นกรณีเครื่องบินตกกลางทะเล, การผ่าสมองออกเป็น 2 ซีก ในขณะที่เหยื่อยังมีชีวิตอยู่ เพื่อตรวจสอบระบบการทำงานของประสาท, การตัดอวัยวะเพศโดยไม่ใช้ยาสลบ นอกจากนั้นยังมีการทดลองการรักษาบาดแผลที่เกิดในสนามรบ โดยทำให้นักโทษเกิดบาดแผล แล้วโรยเศษดิน หญ้า เหล็ก กระจก ซึ่งเป็นวัตถุที่อาจเจอสนามรบให้แผลอักเสบอย่างรุนแรง แล้วทดลองรักษาด้วยวิธีต่างๆ
และก่อนที่สงครามโลกจะหยุดลงนั้น หลักฐานทุกอย่างที่เกี่ยวกับการทดลองก็ถูกทำลาย กลุ่มแพทย์ที่รอดชีวิตถูกจับในฐานอาชญากรสงคราม บางรายก็หนีไปต่างประเทศ และส่วนหนึ่งเปลี่ยนชื่อพรางตัวกลับเข้ามาทำงานในวงการแพทย์… หวังว่าคงไม่มีอยู่ในประเทศไทยหรอกนะ!
งานวิจัย หรืองานทดลอง ล้วนแล้วแต่เป็นประโยชน์ในการศึกษาพัฒนาเรื่องต่างๆ แต่หากทดลองโดยขาดศีลธรรม มันกลับจะเป็นการทรมานมนุษย์ด้วยกัน มากกว่าการค้นคว้าเพื่อช่วยเหลือผู้อื่น

 

ที่มา dek-d

เรื่องน่าสนใจ