เคยสงสัยไหมว่า บางครั้งมักเกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิดขึ้นกับตัวเอง แทนที่จะได้ ไปเฮฮาปาร์ตี้กับแก๊งเพื่อนสาว กลับต้องไปดินเนอร์กับลูกค้าซะงั้น แล้วก็ถามตัวเองว่า เอ๊ะ! นี่ฉันหลวมตัวมาอยู่ตรงนี้ได้ไงเนี่ย บางทีรู้สึกว่าคุณกําลังเป็นเหยื่อของคนที่สามารถโน้มน้าวเก่งกว่าตัวคุณ คุณคงสงสัยว่า เอ๊ะ! เขามีมนต์วิเศษเหรอ ความจริงคุณก็สามารถเป็นแม่มดเจ้าเสน่ห์ที่จูงใจคนด้วยวิธีง่ายๆ แต่ได้ผลเกินคาด แล้วคุณจะได้ทุกอย่างตามต้องการค่ะ
แสดงจุดด้อยให้คนอื่นรับรู้
ฟังเหมือนทําลายตัวเองยังไงก็ไม่รู้ แต่ขอบอกว่ามันจําเป็นต่อการลงมือทําอะไรบางอย่าง คนส่วนใหญ่มักไม่ค่อยแสดงตัวุตนที่แท้จริงให้คนอื่นเห็น แต่ถ้าไม่สนใจสิ่งที่คนอื่นมองว่าเป็นจุดอ่อน คุณจะเปล่งประกายความเป็นตัวเองออกมาทันที ในทางตรงข้ามหากคุณยอมรับข้อบกพร่องของตัวเอง ก็จะสามารถควบคุมความรู้สึกของคนอื่นโดยเปลี่ยนให้เป็นจุดแข็งได้ ซึ่งจะช่วยให้คุณชนะพวกเขา
โยนความกลัวทิ้งชักโครกไปซะ
บุคคลที่มีอาการทางจิตหรือจิตเภท ซึ่งสมองส่วนอมิกดาลา (เกีjยวข้องกับอารมณ์) ทํางานผิดปกติ เป็นผลให้คนเหล่านี้ไม่มีความกลัว คนพวกนี้กล้าทําเรื่องเสี่ยงๆ อย่างสุขุมและมั่นใจ แต่ใช่ว่าผู้ป่วยจิตเภททุกคนจะกลายเป็นฆาตกร บางคนสามารถพาธุรกิจของตัวเองให้รุ่งโรจน์ หรือแม้แต่สามารถผ่าตัดสมองในเคสยากๆ ได้สําเร็จ คนเหล่านี้ดูน่าเชื่อถือเพราะผ่านสถานการณ์ยากลําบากมาได้ด้วยความมั่นใจและเชื่อถือตัวเอง คนปกติคงไม่สามารถทําให้สมองส่วนอมิกดาลาทํางานผิดเพี้ยนได้ แต่สร้างจิตใจที่เข้มแข็งได้แล้วกลบความกลัวในใจฝังดินไว้ เช่น ก่อนที่คุณจะขอลดราคาค่าห้องกับผู้จัดการโรงแรม เพราะเครื่องทําน้ำอุ่นเสีย หรือถามเจ้านายเรื่องการเลื่อนตําแหน่งที่เขาเคยหลอกล่อคุณเอาไว้ คุณอาจลองซ้อมพูด หรือสร้างสถานการณ์ต่างๆ ขึ้นมาเพื่อทดสอบความมั่นใจของตัวเอง
ใช้ภาษากาย
เราไม่ได้ยุให้คุณโชว์ขาอ่อนหรือแหวกเสื้อคอกว้าง แค่ใช้สายตาก็พอ การมองตาสามารถส่งผ่านอํานาจและความไว้เนื้อเชื่อใจได้ดี พยายามมองตาคู่สนทนาเพียง 2-3 วินาที ถ้านานกว่านั้นเขาอาจรู้สึกกลัวได้ และอย่าลืมสังเกตภาษากายด้วยล่ะ จะได้รับรู้อารมณ์ของอีกฝ่าย รู้ว่าควรทําอะไร เมื่อไหร่ คุณเคยเห็นคู่สนทนาเอนหลังพิงพนักเก้าอี้แล้วกอดอกไหม นั่นหมายความว่าเขาไม่สนใจฟังสิ่งที่คุณพูด แต่ถ้านั่งเตะขาขึ้นลง แสดงว่าเขากําลังประหม่า และกระวนกระวายใจ งั้นต้องช่วยให้เขาผ่อนคลายด้วยเสียงหัวเราะ หรือยิ้มให้เขาเยอะๆ
โยนความเป็นตัวเองทิ้งสักพัก
ใช่ค่ะ คุณเป็นคนพิเศษ แต่คุณต้องมองหาความคล้ายคลึงของตัวเองและผู้ที่คุณกําลังจะโน้มน้าว เช่นบอกว่ามาจากภูมิลําเนาเดียวกัน หรืออยู่มหาวิทยาลัยเดียวกัน นอกจากนี้ พยายามอย่าแสดงความเห็นขัดแย้ง อีกทริคหนึ่งที่ใช้ได้ผลก็คือเลียนแบบคําพูด หรือท่าทางของอีกฝ่าย นอกเหนือจากนี้ จงทําให้เขาคิดว่าคุณเป็นคนฉลาดและน่าเชื่อถือ เพราะเขาจะยิ่งคิดว่าคุณมีส่วนคล้ายคลึงพวกเขา
คนเรามักจะอยากเป็นที่หนึ่งในการทําอะไรสักอย่างเสมอ แต่การกลัวพลาดทําให้เราไม่กล้าจะยืนอยู่หัวขบวน แต่การเข้าไปคลุกคลีนั้นหมายถึงคุณค่อยๆ ฝึก จัดการเรื่องเล็กๆ ก่อนเก่งพอที่จะทํางานใหญ่ ดังนั้นหัดใช้คนอื่นให้เป็น ด้วยการเสนอเหตุผล อย่างเช่นพูดว่า “เพื่อนฉันที่เป็นเชฟทําอาหาร แอบบอกเมนูจานเด็ดจนต้องยกนิ้วให้ อยู่ที่ร้านนี้แหละ” นั่นเป็นสัญญาณว่าเริ่มมีคนสองสามคนยอมรับในตัวคุณ ซึ่งทําให้พวกเขารู้สึกอยากไปกินร้านที่คุณเอ่ยปากชวน