พล.อ.ฉัตรชัย สาริกัลยะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า สหภาพยุโรป (อียู) ได้ลงประกาศใน EU Official Journal ขึ้นทะเบียนกาแฟดอยตุงและกาแฟดอยช้างของไทยเป็นสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ (Geographical Indication: GI) ในอียูแล้ว เมื่อวันที่ 14 กรกฎาคม 2558 โดยจะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่ วันที่ 3 สิงหาคม 2558 นี้
ทั้งนี้ สินค้าที่ได้ขึ้นทะเบียนเป็น GI เป็นสินค้าที่มีลักษณะเฉพาะแตกต่างจากสินค้าเดียวกันซึ่งผลิตในพื้นที่อื่น โดยจะมีเอกลักษณ์โดดเด่นที่สามารถเชื่อมโยงกับแหล่งภูมิศาสตร์ คือ สภาพดิน น้ำ และอากาศ ในพื้นที่ซึ่งผลิตสินค้า GI นั้นได้
โดยปัจจัยทางธรรมชาติและปัจจัยจากมนุษย์มีส่วนสำคัญที่ส่งผลต่อการผลิตกาแฟดอยตุงและกาแฟดอยช้าง กล่าวคือ กาแฟดอยตุงปลูกในพื้นที่โครงการพัฒนาดอยตุงบนเทือกเขานางนอน จังหวัดเชียงราย ระดับความสูง 800 – 1,200 เมตรจากระดับน้ำทะเล กาแฟดอยตุงจึงมีกลิ่นหอมและรสชาติกลมกล่อมมีเอกลักษณ์
ขณะที่กาแฟดอยช้างเป็นกาแฟอาราบิก้า สายพันธุ์หลัก คาทูรา คาติมอร์ และคาทุย ที่ปลูกบนหุบเขาดอยช้าง ในตำบลวาวี อำเภอแม่สรวย จังหวัดเชียงราย ที่ระดับความสูง 1,000 – 1,700 เมตรจากระดับน้ำทะเล ซึ่งเหมาะแก่การปลูกกาแฟอาราบิก้า ประกอบกับการคัดเลือกเมล็ดพันธุ์ การดูแลรักษา การเก็บเกี่ยวอย่างพิถีพิถัน และกรรมวิธีผลิตที่ได้มาตรฐาน ส่งผลให้กาแฟดอยช้างมีกลิ่นหอมหวานคล้ายน้ำผึ้ง และมีรสชาติกลมกล่อม ชุ่มคอ
สำหรับการขึ้นทะเบียน GI ของไทย ปัจจุบันไทยขึ้นทะเบียนสินค้า GI แล้ว 70 รายการ จาก 53 จังหวัด เช่น ข้าวหอมมะลิทุ่งกุลาร้องไห้ ส้มโอนครชัยศรี มะขามหวานเพชรบูรณ์ เป็นต้น และกระทรวงพาณิชย์มีแผนจะขึ้นทะเบียน GI ในอีก 24 จังหวัด ที่เหลือให้ครบภายในปี 2560 ผู้สนใจสามารถยื่นคำขอขึ้นทะเบียนและสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่สาย ด่วนกรมทรัพย์สินทางปัญญา โทร. 1368
ในปี 2557 ไทยส่งออกกาแฟไปตลาดโลกในปริมาณ 700 ตัน เป็นมูลค่า 3.6 ล้านเหรียญสหรัฐฯ โดยเป็นการส่งออกไป EU 0.374 ล้านเหรียญสหรัฐฯ คิดเป็น 10% ของการส่งออกกาแฟโดยรวมของไทย และกาแฟดอยช้าง ส่งออกประมาณปีละ 400 ตัน ซึ่งส่งออกไป แคนาดา อังกฤษ อิตาลี มาเลเซีย เกาหลีใต้ และออสเตรเลีย และกาแฟดอยตุง ส่งออกไปยังญี่ปุ่น และคาดว่ากาแฟทั้งสองชนิดนี้ เมื่อได้รับการขึ้นทะเบียน GI ใน EU จะช่วยเพิ่มโอกาสให้ผู้ส่งออกกาแฟดอยตุงและกาแฟดอยช้างขยายตลาดในสหภาพยุโรปได้มากขึ้น