ความคืบหน้ากรณีที่มีการเผยแพร่คลิปผ่านสื่อสังคมออนไลน์ กรณีพ่อคนหนึ่งในอ.หาดใหญ่ จ.สงขลา ได้ทำร้ายลูกชายวัยแค่ 5 ขวบด้วยการใช้เท้าเตะหน้าถึง 12 ครั้ง ก่อนที่จะตบและจับยกขึ้นบีบคอแล้วทิ้งลงกับพื้น ระหว่างที่ตรวจการบ้านลูกชาย แต่ลูกไม่สามารถตอบคำถามวิชาเลขได้
ในขณะที่พ่ออยู่ในอาการคล้ายคนมึนเมา และกลายเป็นเรื่องที่วิพากวิจารณ์กันอย่างกว้างขวางถึงพฤติกรรมความโหดร้ายของพ่อคนนี้
เมื่อเวลา 10.00 น.วันที่ 26 ก.ค. ที่สภ.หาดใหญ่ จ.สงขลา พล.ต.ต.อำพล บัวรับพร ผบก.ภ.จว.สงขลา พร้อมด้วย พ.ต.อ.ภาสกร กลั่นหวาน ผกก.สภ.หาดใหญ่ และ น.ส.ชมฤดี นาทะศิริ หัวหน้าบ้านพักเด็กและครอบครัว จ.สงขลา ได้นำตัวนายพีระศักดิ์ (ขอสงวนนามสกุล) อายุ 30 ปี พ่อแท้ๆของเด็กชายเหยื่อวัย 5 ขวบ มาแถลงถึงเหตุการณ์ข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นทั้งหมด
พล.ต.ต.อำพลกล่าวว่า เหตุการณ์ที่ปรากฏในคลิปเกิดขึ้นเมื่อเวลา 20.30 น.วันที่ 23 ก.ค.ที่ผ่านมา ภายในแฟลตการเคหะแห่งชาติ ในอ.หาดใหญ่ และการนำตัวนายพีระศักดิ์ มาเปิดเผยต่อสื่อมวลชนและสาธารณชนไม่ได้ตั้งใจจะประจาน แต่ต้องการให้เป็นตัวอย่างและอุทาหรณ์ของครอบครัวอื่นๆ ที่อาจจะรักลูกแต่ใช้วิธีการสอนที่ผิด
“การกระทำของนายพีระศักดิ์กับลูกอาจจะหนักเกินไปจนลูกชายคนโตอายุ 6 ขวบต้องไปอยู่กับญาติที่ภูเก็ต ส่วนลูกที่ปรากฏในคลิปเป็นลูกคนที่สอง และยังมีลูกสาวอีก 2 คนอายุ 4 ขวบกับ 2 ขวบ ส่วนภรรยากับมีอาชีพทำงานร้านอาหารรายได้วันละ 400 บาท เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอาจจะมาจากความเครียด เนื่องจากตกงานและอยู่ในความมึนเมา” ผู้การสงขลากล่าว
พล.ต.ต.อำพลกล่าวว่า แม้ว่าจะไม่ได้ตั้งใจทำร้ายลูก แต่เจ้าหน้าที่ต้องดำเนินคดีใน 3 ข้อหา คือ เสพยาเสพติด, ทำร้ายร่างการผู้อื่นเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่ร่างกายหรือจิตใจ, กระทำหรือละเว้นการกระทำอันเป็นการทารุณกรรมแก่ร่างกาย หรือจิตใจของเด็กและกระทำรุนแรงในครอบครัว ซึ่งนายพีระศักดิ์ยอมรับสารภาพทุกข้อกล่าวหา และสำนึกผิดกับสิ่งที่ทำลงไป
ส่วนนายพีระศักดิ์กล่าวว่า เสียใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แต่ที่ทำลงไปเพราะความโมโหที่พยายามสอนแล้วลูกไม่จำ รวมทั้งความเครียดที่ตกงานและความเมา อยากจะขอโทษอยากกอดและพบหน้าลูกชาย และยอมรับผิดกับสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมด และสงสารลูกมาก
ด้าน น.ส.ชมฤดี นาทะศิริ หัวหน้าบ้านพักเด็กและครอบครัว จ.สงขลา เปิดเผยว่า ทางเจ้าหน้าที่จะไปสอบข้อเท็จจริงสภาพความเป็นอยู่ของครอบครัวเพิ่มเติม และเร่งดูแลช่วยเหลือเยียวยาสภาพร่างกายและจิตใจของเด็ก ซึ่งขณะนี้สภาพจิตใจยังไม่ปรกติ ยังขวัญเสีย ต้องพาไปพบแพทย์และนักจิตวิทยาเพื่อเร่งฟื้นฟูสภาพจิตใจ ส่วนสภาพร่างกายนั้นไม่ได้รับผลกระทบหรือบาดเจ็บใดๆ และจะต้องดูแลช่วยเหลือแม่รวมทั้งลูกๆทั้งหมดด้วย ทั้งนี้หนูน้อยคนนี้ยังสามารถอยู่ในความดูแลขอแม่ที่แฟลตการเคหะได้
