จากการลอบวางระเบิดกลางกรุงเทพฯ บริเวณหน้าศาลท้าวมหาพรหมอันศักดิ์สิทธิ์ เหตุการณ์นี้นับเป็นเรื่องช็อกหัวใจคนไทยครั้งใหญ่ เพราะมีบาดเจ็บและเสียชีวิตกับเหตุการณ์นี้นับร้อยราย อีกทั้งยังคาดว่าน่าจะกระทบต่อภาพรวมของประเทศอีกด้วย
อย่างไรก็ตาม จากการลงพื้นที่หลังกลิ่นดินระเบิดจาง พบว่า สถานที่อันศักดิ์สิทธิ์อย่าง ศาลท้าวมหาพรหมเอราวัณ ก็ได้รับผลกระทบไปด้วย โดยมีพบว่าองค์ท้าวมหาพรหม มีรอยแตกร้าวหลายจุด ซึ่งนี่ถือว่า “ไม่ใช่ครั้งแรก” ที่องค์ท้าวมหาพรหมเอราวัณ ที่แยกราชประสงค์ ได้รับความเสียหาย เนื่องจากก่อนหน้านี้เคยเกิดขึ้นมาแล้วครั้งหนึ่ง ส่วนจะเกิดจากอะไรนั้น งันนี้เราจะไล่เรียงให้ได้ทราบกัน
เปิดประวัติ ท้าวมหาพรหมเอราวัณ เรื่องราวอาถรรพณ์ที่ถูกเล่าขาน
สำหรับ ศาลท้าวมหาพรหม บริเวณหน้าโรงแรมเอราวัณนั้น เริ่มต้นด้วยการมีแนวคิดที่จะประดิษฐาน ในปี พ.ศ.2496 โดย พล.ต.อ.เผ่า ศรียานนท์ อธิบดีกรมตำรวจและเป็นประธานกรรมการก่อสร้างโรงแรมเอราวัณ แต่ในระหว่างการก่อสร้างนั้น ประสบอุปสรรคมากมาย อาทิ ช่างประสบอุบัติเหตุเสียชีวิตระหว่างก่อสร้าง
จากปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้น พล.ต.อ.เผ่า จึงได้เชิญ พล.ร.ต.หลวงสุวิชานแพทย์ ผู้หยั่งรู้ในเรื่องลี้ลับ ช่วยหาสาเหตุเกี่ยวกับการสร้างโรงแรม พล.ร.ต.หลวงสุวิชานแพทย์ จึงนั่งทางในเพื่อไขคำตอบแล้วก็พบว่า การตั้งชื่อโรงแรมว่า “เอราวัณ” นั้นเป็นนามของช้างทรงของพระอินทร์ จึงต้องบอกกล่าวต่อท้าวมหาพรหมเพื่อขออนุญาตพระองค์ให้ช่วยคุ้มครองตลอดจนขอพรให้เกิดสิ่งดีๆ ขึ้น โดยกำหนดตำแหน่งที่ตั้งศาลจะต้องตั้งหน้าโรงแรมหัวมุมสี่แยกราชประสงค์อย่างที่เราเห็นกันในปัจจุบัน
สุดช็อก หนุ่มเพี้ยน ทุบรูปปั้นท้าวมหาพรหมแตกละเอียด ก่อนถูกประชาทัณฑ์ดับ!
นับแต่นั้นศาลท้าวมหาพรหมก็เป็นที่เคารพบูชาของทั้งคนไทยและชาวต่างชาติเรื่อยมาจนกระทั่งเรื่องไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น ในดึกสงัดของวันที่ 21 มีนาคม พ.ศ.2549 บรรยากาศดำเนินไปอย่างปกติแต่แล้ว ชายปริศนาอายุประมาณ 27 ปี จู่ๆ ก็เดินข้ามถนนมาจากฝั่งโรงพยาบาลตำรวจเข้าไปในบริเวณศาลมุ่งตรงไปที่แท่นบูชา
จากนั้นได้ปีนขึ้นไปคร่อมองค์ท้าวมหาพรหม ก่อนจะใช้ค้อนที่เหน็บเอวกระหน่ำทุบทำลายองค์ท้าวมหาพรหมอันศักดิ์สิทธิ์แบบไม่ยั้งพร้อมส่งเสียงหวีดร้องและตะโกนอย่างคลุ้มคลั่ง
หนุ่มสุดเพี้ยน ใช้ค้อนทุบองค์พระพรหมเสียหาย ก่อนถูกรุมประชาทัณฑ์ดับ
เขาใช้เวลาลงมือเพียง 5 นาทีเท่านั้น องค์ท้าวมหาพรหมทั้งองค์ ก็แตกกระจายตามพื้นทั่วทั้งบริเวณศาล ภาพดังกล่าวสร้างความสะเทือนใจแก่บุคคลทั้งหลายที่เคารพบูชา หลังลงมือเสร็จ ชายคลุ้มคลั่งได้ปีนออกมาจากศาลแล้วพยายามวิ่งหนีชาวบ้านที่อยู่ในอาการตกตะลึงและโกรธแค้นจึงช่วยกันวิ่งตามจับชายเสียสติและรุมประชาทัณฑ์จนมือทุบถึงแก่ความตาย จากนั้นชาวบ้านที่ทำร้ายหนุ่มคลั่งก็แยกย้ายกันหลบหนี
หลังก่อเหตุตำรวจเข้ามาตรวจสอบสภาพศพของผู้ก่อเหตุบริเวณด้านนอกรั้วศาลทางเข้าโรงแรมเอราวัณ สภาพศพเป็นชายอายุไม่เกิน 30 ปี สวมเสื้อยืดคอกลมสีขาว นุ่งกางเกงสีน้ำตาลพับขาขึ้นถึงหัวเข่า มีกางเกงชั้นในสีเทาอยู่ข้างมือซ้าย มีบาดแผลแตกที่คิ้วขวาและท้ายทอยและรอยช้ำทั่วตัว รอบข้างมีชาวบ้านที่มามุงดูศพต่างพากันวิพากษ์วิจารณ์ว่า “เวรกรรมตามทันแล้ว ท้าวมหาพรหมเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ใครจะมาลบหลู่ไม่ได้”
ต่อมาพ่อของชายเสียสติที่ก่อเหตุทุบองค์ท้าวมหาพรหมได้เข้าให้การกับตำรวจพร้อมเปิดเผยว่า ลูกชายป่วยเป็นโรคประสาทมานานถึง 6 ปี เริ่มมีอาการตั้งแต่รู้ตัวว่าจะต้องเกณฑ์ทหารจากนั้นก็กลายเป็นคนซึมเศร้าชอบเก็บตัวเงียบ บางครั้งก็แอบร้องไห้คนเดียว
อาการของลูกชายมาหนักขึ้นเมื่อจับได้ใบดำไม่ต้องเป็นทหาร ลูกชายมีอาการคลุ้มคลั่งทำลายข้าวของในบ้านมีอาการเครียดและเซื่องซึมมากกว่าเดิมจนพ่อต้องพาไปรักษาตามโรงพยาบาลต่างๆ ถึง 4 แห่ง แต่ไม่หายเพราะมีอาการกำเริบเป็นบางครั้ง และทุกครั้งที่มีอาการต้องโทรแจ้งให้เจ้าหน้าที่มาช่วยกันจับ
“คืนวันนั้น ลูกชายทำตาขวางใส่ ผมเห็นท่าไม่ดีจึงโทรแจ้ง 191 แต่ไม่มีเจ้าหน้าที่มา จากนั้นลูกชายก็ออกจากบ้านไปโดยไม่ทราบว่าไปไหนก่อนจะมาทราบภายหลังว่าลูกชายได้ก่อเหตุบุกทุบศาลท้าวมหาพรหมและโดนรุมประชาทัณฑ์จนเสียชีวิต” ผู้เป็นพ่อเล่าถึงนาทีก่อนเกิดเหตุ
เหตุการณ์ครั้งนั้น ทำให้ประชาชนและคนในสังคมเกิดความตื่นตระหนก และวิตกกังวลนี่คือ “ลางร้าย” ที่อาจจะก่ออาเพศกับบ้านเมือง อีกทั้งบรรยากาศในตอนนั้นเต็มไปด้วยความตึงเครียดจากปัญหาทางการเมือง ซึ่งต่อมา นายภิญโญ พงศ์เจริญ นายกสมาคมโหราศาสตร์นานาชาติในขณะนั้นระบุว่า ในทางโหราศาสตร์เรื่องที่เกิดขึ้นถือเป็นนิมิตสำคัญที่เทวดาฟ้าดินเตือนให้มนุษย์รับรู้โดยท้าวมหาพรหมเทพอันศักดิ์สิทธิ์ที่สร้างมาถึง 60 ปี
แล้วอยู่ๆ ถูกคนเสียสติมาทุบทำลายซึ่งหมายถึงไม่ใช่การแตกดับที่เป็นไปตามธรรมชาติ ส่วนสำหรับความเชื่อทางศาสนาพุทธเชื่อว่าผู้นำต้องนำหลัก “พรหมวิหาร 4” คือเมตตา กรุณา มุทิตา และอุเบกขา มาใช้แก้ไขปัญหาบ้านเมืองที่เกิดขึ้น
ปลุกขวัญ ดำเนินการสร้างท้าวมหาพรหมองค์ใหม่
หลังจากเหตุการณ์นั้นเพื่อเป็นการปลุกขวัญประชาชนจึงต้องเร่งดำเนินการบูรณะหรือสร้างพระพรหมองค์ใหม่ขึ้นมาแทน สำหรับองค์ท้าวมหาพรหมที่ถูกทุบทำลายไปนั้นเดิมทีตั้งใจจะหล่อด้วยเนื้อนวโลหะแต่เกรงจะไม่ทันสำหรับใช้ในพิธีบวงสรวง จึงต้องนำองค์ที่เป็นเนื้อปูนพลาสเตอร์มาใช้แทนก่อน
แต่เมื่อทำพิธีกรรมไปแล้วแสดงว่าองค์มหาพรหมได้ลงมาประทับแล้วจึงได้ใช้องค์เดิมตลอดมา แต่ที่มีความแข็งแรงทนทานนั้นเกิดจากการบูรณะลงรักปิดทองตลอด ส่วนขั้นตอนการสร้างใหม่นั้นได้นำชิ้นส่วนเดิมที่แตกหักมาประสานกันด้วยปูนปลาสเตอร์ใยหินหรือปูนเขียวโดยใช้สเตนเลสขนาด 1 นิ้ว เป็นแกนกลางส่วนข้อต่อต่างๆ ใช้ทองเหลืองจากประเทศสวีเดนที่มีความแข็งแรงทนทานขนาด 1 หุน เป็นตัวยึด
ส่วนลวดลายผ้านุ่งของพระพรหมต้องทำขึ้นมาใหม่เกือบทั้งหมดเพราะลายเดิมได้เลือนหายไปตามกาลเวลาจากนั้นจึงจะทำการลงรักปิดทอง โดยทุกอย่างจะมีโครงสร้างเหมือนของเดิมทุกประการ ทั้งนี้ กรมศิลปากรเป็นผู้ดำเนินการ และใช้เวลา 2 เดือนจึงแล้วเสร็จตามกำหนด ซึ่งมีพิธีการบวงสรวงในวันที่ 21 พฤษภาคม 2549 และอัญเชิญท้าวมหาพรหมกลับมาประทับ ณ จุดเดิมอีกครั้ง
แต่แล้วเหตุการณ์เหมือนฝันร้ายก็เกิดขึ้นซ้ำ ในช่วงหัวค่ำวันที่ 17 ส.ค.ที่ผ่านมา เมื่อมีผู้ไม่หวังดีลอบวางระเบิดทำร้ายประชาชนบริเวณศาลท้าวมหาพรหม ทำให้มีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บนับร้อย นับเป็นเหตุการณ์ที่ไม่เคยเกิดขึ้นกับเรามาก่อน อย่างไรก็ดี แรงระเบิดยังทำให้องค์มหาพรหมเอง ที่เกิดรอยแตกหักบริเวณปลายคาง จากรอยแตกร้าวดังกล่าว แม้จะได้รับความเสียหายแค่บางส่วน แต่ก็เพียงพอที่จะทำให้ประชาชนรู้สึกว่าจะเกิดลางร้ายอีกครั้ง…แต่ ครั้งนี้ สำนักช่างสิบหมู่สังกัดกรมศิลปากรได้เตรียมการรับมือไว้ล่วงหน้าตั้งแต่ครั้งบูรณะองค์ท้าวมหาพรหมครั้งที่แล้ว
เหตุที่คนจีนศรัทธาพระพรหมเอราวัณ เพราะเคยมีชาวฮ่องกงเคยมาขอพรท่านแล้วประสบความสำเร็จ จึงมีเสียงร่ำลือ จนกลายเป็นแรงศรัทธา
เมื่อครั้งที่ สำนักช่างสิบหมู่ กรมศิลปากร ได้ดำเนินการก่อสร้างพระพรหม ในครั้งก่อน ช่างอีกชุดยังได้ทำแม่พิมพ์หุ่นขี้ผึ้งองค์ท้าวมหาพรหม ไว้ด้วย หลังจากนั้นก็มีพิธีเททองหล่อพระพรหมองค์สำรอง เมื่อวันที่ 10 ส.ค. 2549 จากนั้นก็ขัดแต่งเก็บรายละเอียดและลงรักปิดทอง จุดประสงค์ที่สร้างพระพรหมองค์สำรองนี้เผื่อไว้หากเกิดเหตุไม่คาดฝันและก็ได้เกิดขึ้นจริงๆ
คาดใช้งบ 1 แสน บูรณะพระพรหม 2 สัปดาห์เสร็จ
ด้าน นายบวรเวท รุ่งรุจี อธิบดีกรมศิลปากร เปิดเผยกับทีมข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์ว่า จากการสำรวจเบื้องต้น พบว่า องค์ท้าวมหาพรหม ได้รับความเสียหายประมาณ 10 จุด แต่จุดที่ใหญ่ที่สุดจะอยู่ที่บริเวณคาง ทั้งนี้ จะมีการส่งช่างสิบหมู่เข้าไปบูรณะ ในวันจันทร์ที่ 24 ส.ค.นี้
คาดว่าจะใช้เวลาบูรณะประมาณ 2 สัปดาห์ก็จะแล้วเสร็จ ส่วนค่าใช้จ่ายคาดว่าน่าจะใช้เงินประมาณ 1 แสนบาท ซึ่งทางมูลนิธิฯ จะเป็นผู้ดูแลทั้งหมด ซึ่งแยกย่อยเป็นเงิน 4 หมื่นบาท คือค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับทองคำเปลวบริสุทธิ์ที่จะใช้ ส่วนที่เหลือก็จะเป็นค่าช่างและอุปกรณ์อื่นๆ
“ส่วนจะมีพิธีบวงสรวงอะไรหรือไม่นั้น เป็นสิทธิ์ของมูลนิธิฯ เนื่องจากเป็นผู้รับผิดชอบโดยตรง ทางกรมศิลปากร มีหน้าที่บูรณะซ่อมแซม องค์พระพรหมเพียงอย่างเดียวเท่านั้น” อธิบดีกรมศิลปกากร กล่าว
นายบวรเวท รุ่งรุจี อธิบดีกรมศิลปากร
ขณะที่ นายไพจิตร โรจนวานิช ประธานมูลนิธิทุนท่านท้าวมหาพรหมเอราวัณ เปิดเผยกับทีมข่าวว่า องค์ท้าวมหาพรหมได้รับความเสียหายไม่มาก ทั้งนี้ ทางกรมศิลปากร ได้เตรียมส่งช่างสิบหมู่มาทำการบูรณะ ส่วนเรื่องค่าใช้จ่ายนั้น ทางมูลนิธิฯ จะเป็นผู้รับผิดชอบทั้งหมด ซึ่งคาดว่ามีราคาค่อนข้างสูง เนื่องจากช่างที่จะมาทำการบูรณะ ต้องเป็นช่างฝีมือ
จึงคิดว่าน่าจะมีราคาแพงพอสมควร ส่วนกำหนดการซ่อมแซมและบูรณะ นั้น คาดว่าจะดำเนินการเร็วๆ นี้ อย่างไรก็ดี ทางรัฐบาล ได้ร่วมกับ กทม. ได้จัดทำบุญใหญ่ 5 ศาสนา เพื่อเรียกขวัญและกำลังใจให้กับประชาชน ทั้งนี้ หากทำการบูรณะเสร็จ ก็จะไม่มีพิธีแต่อย่างใด
ทั้งนี้ ทางมูลนิธิฯ ยังได้เตรียมเงินมอบช่วยเหลือกับเหยื่อในเหตุระเบิดครั้งนี้จำนวนหนึ่ง คือ ผู้เสียชีวิต มูลนิธิฯ จะมอบเงินช่วยเหลือรายละ 50,000 บาท ส่วนผู้บาดเจ็บ รายละ 20,000 บาท
ผู้เชี่ยวชาญฮวงจุ้ย ไม่เชื่อเป็นลางร้าย
อ.วิศิษฐ์ เตชะเกษม ผู้เชี่ยวชาญด้านฮวงจุ้ย กล่าวว่า ความเสียหายของพระพรหม ส่วนตัวไม่เชื่อว่าจะเกิดเหตุร้ายหรืออาเพศได้ เพราะตอนปี 49 ก็เคยเกิดมาแล้วครั้งหนึ่ง เหตุร้ายเกิดจากน้ำมือมนุษย์ ก่อนอื่นเราต้องมองว่าตรงนั้นคือสถานที่ที่มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์เยอะ ผู้คนจึงเดินทางไปตรงนั้นมาก จากนั้นก็มีห้างมาตั้งตรงนั้น เมื่อผู้คนมากเหตุร้ายจึงเกิดตรงนั้น ทั้งนี้เชื่อว่าสาเหตุที่เกิดตรงนั้นเพราะมีผู้คนเดินทางไปตรงจุดนั้นมาก
แต่หากมองย้อนไป ที่ตรงนั้นก็ไม่ใช่สถานที่ศักดิ์สิทธิ์แต่อย่างใด เพียงแต่มีการสร้างโรงแรม จากนั้นจึงมีการอัญเชิญพระพรหม ตอนหลังจึงมีการท้าว และ เทพต่างๆ ส่วนเรื่องการบูรณะ แล้วมีการเปลี่ยนแปลงมวลสาร จะส่งผลกระทบอะไรหรือไม่ ส่วนตัวคิดว่าเป็นไปตามกาลเวลา ยกตัวอย่างเช่น อาคารถนนย่านเจริญกรุง อาคารบางแห่งหมดอายุไปแล้ว การก่อสร้างก็แตกต่างกัน
ดังนั้น หากจะซ่อมแซมก็ต้องหาวัสดุสมัยใหม่เข้ามาใช้เสริม เช่นเดียวกับองค์พระพรหม หากมีมวลสารชนิดใหม่เข้ามา สำคัญอยู่ที่ว่าผสมผสานไปแล้ว ได้ความรู้สึกเดิมหรือเปล่า แต่มันขึ้นอยู่กับความศรัทธากับคนที่ไปบูชาท่าน ที่สำคัญ ความศักดิ์สิทธิ์ ไม่ได้เกิดจากเนื้อวัสดุ แต่เกิดจากใจมนุษย์ หากมนุษย์ศรัทธาก็จะศักดิ์สิทธิ์ หากไม่ศรัทธา ความศักดิ์สิทธิ์ก็จะหายไปเอง
“หากจะบูรณะ คิดว่าน่าจะมีพิธีพราหมณ์ ยกตัวอย่างพราหมณ์เวลาจะเดินเข้าประตู ก็ต้องเอามือไปแตะที่ธรณีประตูจากนั้นมาแตะหน้าอกหรือศีรษะ เนื่องจากเชื่อว่ามีวิญญาณเจ้าของสถานที่อยู่ที่ธรณีประตู อันนี้เรียกว่า “พิธีกรรม” แต่ถามว่ามีใครรู้หรือไม่ว่าตรงนั้นมีวิญญาณหรือเปล่าไม่รู้
แต่ทำแล้วดูศักดิ์สิทธิ์ เช่นกัน การบูรณะพระพรหม หากเอาช่างมาหล่อปิดทอง ก็ถือว่าเสร็จ แต่หากมีพิธีกรรม ดูฤกษ์ยามข้างขึ้นข้างแรม เป่าแตรสังข์ อัญเชิญเทวดามาฟัง ก็จะทำให้ขลังขึ้น แต่แท้ที่จริงแล้วความขลัง หรือศักดิ์สิทธิ์ ไม่ได้อยู่ที่ตัวองค์ท่าน แต่อยู่ที่ปรัชญาของท่าน คือ เมตตา กรุณา มุทิตา และ อุเบกขา ผู้คนที่เดินทางมาขอพร ก็เพื่อให้เกิดกำลังใจ
จากนั้นก็กลับไปทำสิ่งที่ตนหวังด้วยความพากเพียรจนสำเร็จต่างหาก คนก็คิดว่าศักดิ์สิทธิ์ เพราะคำว่า “ศักดิ์” ในภาษาบาลีหมายถึงความสามารถ ส่วนคำว่า “สิทธิ์” หมายถึงความสำเร็จ คำว่า “ศักดิ์สิทธิ์” ก็ต้องมาดูว่าคนคนนั้นมีความเพียร จุดมุ่งหมาย หรือไม่”
จุดนี้ทำเลดีมาก เพราะมีกระแสของการเคลื่อนไหว เป็นเส้นทางค้าขายมาตั้งแต่โบราณ
เมื่อถามว่า ทำไมคนจีนถึงศรัทธา พระพรหมเอราวัณ อ.วิศิษฐ์ อธิบายว่า เพราะเคยมีชาวฮ่องกงเคยมาขอพรท่านแล้วประสบความสำเร็จ จากนั้นจึงมีเสียงร่ำลือผ่านโซเชียลเน็ตเวิร์กกันต่อไป จนกลายเป็นแรงศรัทธา
“แยกราชประสงค์” สุดยอดทำเลทอง มีกระแสของการเคลื่อนไหว
เหตุร้ายเกิดตรงนั้น ฮวงจุ้ยเปลี่ยนหรือไม่ ผู้เชี่ยวชาญด้านฮวงจุ้ย กล่าวว่า ส่วนตัวคิดว่าไม่เปลี่ยน หากเรื่องราวสงบก็คิดว่าคนก็จะเข้าไปเหมือนเดิม ตอนนี้มีเรื่องก็อาจจะถอยออกมา
“ตรงแยกราชประสงค์ ถือเป็นจุดตัด ถามว่าเป็นฮวงจุ้ยดีหรือไม่นั้น ก่อนอื่นต้องบอกก่อนว่า ฮวงกับจุ้ย หมายถึง ลมกับน้ำ ทำเลตรงนั้นมีจุดตัด จึงหมายถึงทำเลที่มีจุดตัดของกระแสลมกับน้ำมากทำให้มีคนเข้าไปมาก เมื่อมีคนเข้าไปมาก จึงค้าขายดีอยู่แล้ว ถามว่าฮวงจุ้ยตรงนั้นดีหรือไม่
คำตอบคือทำเลดีมาก เพราะมีกระแสของการเคลื่อนไหว มีรถไฟฟ้า มีถนนพระราม 1 ตัดกับราชดำริ เดิมเคยเป็นคลองสีลมเก่า เป็นเส้นทางค้าขายมาตั้งแต่โบราณมาแล้ว แต่ความเจริญรุ่งเรืองมันแค่เปลี่ยนรูปแบบ แต่เมื่อมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์เข้ามา ก็ยิ่งทำให้คนหลั่งไหลเข้ามา เมื่อมีคนพูดถึงสิ่งศักดิ์สิทธิ์ก็ยิ่งโปรโมตตรงนั้นเพิ่ม แต่สิ่งที่ผมอยากจะบอกว่า บางทีเราก็อย่าไปหวังกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์มากจนเกินไป ผมไม่ได้บอกว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ไม่ดี แต่อยากให้เป็นที่พึ่งทางใจ แต่ไม่ใช่ สรณะ” อ.วิศิษฐ์ กล่าวทิ้งท้าย.