เพจ บีบีซีไทย – BBC Thai เปิดเผยว่า ปัญญาประดิษฐ์ (เอไอ) เป็นศาสตร์ในการสร้างเครื่องจักรกลที่มีความชาญฉลาด และปัจจุบันศาสตร์แขนงนี้ก็มีความก้าวหน้าไปมากนับแต่คำดังกล่าวถูกบัญญัติขึ้นในช่วงคริสต์ทศวรรษ 1950
โดยทุกวันนี้เราได้เห็นหุ่นยนต์ทำงานร่วมกับมนุษย์ตามโรงแรมและโรงงาน อีกทั้งยังมีรถยนต์ที่สามารถขับเคลื่อนด้วยตนเองถูกนำมาทดลองวิ่งตามท้องถนน และยังมีสมองกลที่ถูกนำมาใช้งานในการซื้อขายหลักทรัพย์และบริการอื่นๆ แม้นี่จะเป็นเทคโนโลยีที่ก่อให้เกิดคุณประโยชน์ แต่คนจำนวนไม่น้อยกลับมีทัศนคติที่ไม่ค่อยดีนักต่อปัญญาประดิษฐ์เหล่านี้ ซึ่งส่วนหนึ่งน่าจะเป็นผลมาจากการที่ภาพยนตร์แนววิทยาศาสตร์นำเสนอภาพในแง่ลบว่าหุ่นยนต์เหล่านี้จะเข้ามายึดครองโลกนั่นเอง
ในภาพยนตร์เรื่อง 2001: A Space Odyssey ผู้เขียน คือ อาร์เธอร์ ซี คลาร์ก ได้วางโครงเรื่องให้ เครื่องจักรสมองกล ที่ชื่อว่า “ฮาล” เป็นผู้ควบคุมยานอวกาศดิสคัฟเวอรี วัน ทว่าในเวลาต่อมามันกลับไม่เชื่อฟังคำสั่งของมนุษย์จนทำให้เกิดปัญหาวุ่นวายขึ้น
อย่างไรก็ตาม เรื่องราวทำนองนี้เกิดขึ้นเฉพาะในภาพยนตร์เท่านั้น เพราะในความเป็นจริง สิ่งประดิษฐ์ที่มีความใกล้เคียงกับ ฮาล มากที่สุด อย่างเครื่องซูเปอร์คอมพิวเตอร์ของบริษัทไอบีเอ็มที่ชื่อ “วัตสัน ” กลับสร้างคุณประโยชน์มากมายให้กับมนุษย์ โดยมันสามารถเข้าใจภาษาธรรมชาติของมนุษย์และอ่านเอกสารนับล้านฉบับได้ภายในเวลาเพียงไม่กีวินาที
และเมื่อ 4 ปีก่อนมันยังสามารถเอาชนะแชมป์โลก 2 คนของรายการตอบคำถามทางโทรทัศน์ชื่อดัง Jeopardy ปัจจุบัน วัตสัน ทำงานเป็นหนึ่งเดียวกับมนุษย์ในด้านต่างๆ อาทิ การวิจัยผลิตภัณฑ์ใหม่ให้กับบริษัทชั้นนำของโลก และช่วยแพทย์ค้นคว้าวิธีรักษาโรคมะเร็ง
ส่วนภาพน่าหวาดกลัวของหุ่นยนต์ทำลายล้างนั้น หลายคนอาจคุ้นตาจากภาพยนตร์เรื่อง Terminator ที่ถูกออกแบบขึ้นเพื่อทำลายล้างมนุษยชาติ อย่างไรก็ตาม ในปัจจุบันยังไม่มีปัญญาประดิษฐ์ชนิดใดถูกพัฒนาให้มีความตระหนักรู้ตนเองเหมือนในภาพยนตร์ และหุ่นยนต์ที่ถูกสร้างขึ้นล้วนถูกวางโปรแกรมให้ทำแต่สิ่งที่ดี ยกเว้นหุ่นยนต์ทหารที่กำลังมีการพัฒนามากขึ้นเพื่อใช้ในสนามรบ
แต่ขณะเดียวกันก็มีการเคลื่อนไหวรณรงค์เพื่อหยุดยั้งการสร้างหุ่นยนต์ประเภทนี้ โดยสหประชาชาติ (ยูเอ็น) ระบุว่า ต้องไม่มีการพัฒนาอาวุธที่สามารถทำงานได้เองโดยไม่มีมนุษย์ควบคุม
ในส่วนของหุ่นยนต์ที่คอยช่วยเหลือมนุษย์นั้น ภาพยนตร์เรื่อง Star Wars ได้นำเสนอหุ่นยนต์ C-3PO ซึ่งเป็นหุ่นยนต์ฮิวแมนนอยด์ที่มีลักษณะการเคลื่อนไหวคล้ายมนุษย์ และมีหน้าที่ให้คำแนะนำเรื่องมารยาท,ธรรมเนียมปฏิบัติ และแปลภาษาต่างๆเพื่อให้การติดต่อสื่อสารระหว่างคนต่างวัฒนธรรมเป็นไปอย่างราบรื่น
ซึ่งในความเป็นจริงนั้นก็มีหุ่นยนต์ทำนองนี้เช่นกัน ทว่าเป็นหุ่นยนต์ที่ทำหน้าที่เป็นเพื่อนแก้เหงา โดยหุ่นยนต์ที่ชื่อว่า “เป็ปเปอร์” ของบริษัทซอฟต์แบงค์ ในญี่ปุ่น มีความสามารถในการตรวจจับอารมณ์ของมนุษย์ โดยเรียนรู้อารมณ์ต่างๆจากการดูวิดีโอการแสดงสีหน้าของมนุษย์
ขณะที่การ์ตูนเรื่อง Wall-E ก็นำเสนอภาพหุ่นยนต์ที่ช่วยเก็บกวาดขยะที่มนุษย์ทิ้งไว้เบื้องหลัง ซึ่งก็คล้ายกับหุ่นยนต์ดูดฝุ่นรุมบา ของบริษัทไอโรบอท ที่มียอดขายกว่า 10 ล้านเครื่องแล้วนับแต่ออกวางตลาดเมื่อปีก่อน และมีหลักฐานที่บ่งชี้ว่า ผู้ใช้บางคนเกิดความรู้สึกผูกพันกับหุ่นยนต์ชนิดนี้เหมือนกับเป็นสัตว์เลี้ยงตัวหนึ่งจนถึงขั้นพามันไปเที่ยวด้วยเลยทีเดียว
หุ่นยนต์ประเภทสุดท้ายที่จะกล่าวถึงคือ หุ่นยนต์ที่มีรูปร่างหน้าตาเหมือนคน และเป็นปัญญาประดิษฐ์ที่คนกลัวกันมากที่สุด โดยในภาพยนตร์เรื่อง Ex-Machina หุ่นยนต์ที่ชื่อ “เอวา” ถือเป็นสมองกลที่ถูกพัฒนาไปถึงขั้นสูงสุด โดยสามารถสนทนากับมนุษย์ได้ทุกเรื่อง มีอารมณ์ร่วมกับมนุษย์ อีกทั้งยังมีหน้าตาเหมือนมนุษย์ทุกอย่าง
แต่ในความเป็นจริงเทคโนโลยีดังกล่าวยังถือว่าห่างไกลนักกว่าที่เราจะไปถึงจุดนั้นได้ และปัจจุบันมีเพียงไม่กี่คนที่ทดลองสร้างหุ่นยนต์ที่มีรูปร่างหน้าตาเป็นมนุษย์ ซึ่งหนึ่งในนั้นคือ ฮิโรชิ อิชิกูโร่ วิศวกรหุ่นยนต์ชาวญี่ปุ่นที่สร้างหุ่นยนต์เลียนแบบตัวเอง ที่เรียกว่า “เจมินอยด์” เพื่อศึกษาการปฏิสัมพันธ์ของมนุษย์และหุ่นยนต์ บรรดาผู้เชี่ยวชาญเชื่อว่า ต่อไปหุ่นยนต์จะถูกพัฒนาให้เหมือนมนุษย์จนแยกไม่ออก
โดย ศ.เชตัน ดูบ ซึ่งพัฒนาซูเปอร์คอมพิวเตอร์ผู้ช่วยเสมือนจริง “อะมีเลีย” มั่นใจว่า หุ่นยนต์และปัญญาประดิษฐ์จะถูกนำมารวมกันในอนาคต และเขาเชื่อว่าจะสามารถพัฒนา อะมีเลีย ให้เหมือนมนุษย์จนแยกไม่ออกได้ภายในอีก 10 ปีข้างหน้า