คุณค่าอาหารของปลา
ทำไมปลาจึงเป็นส่วนหนึ่งของอาหารสุขภาพ
- เนื่องจากปลาจะเป็นแหล่งที่ให้วิตามินและแร่ฐาตุที่สำคัญ
- ในเนื้อปลาจะมีน้ำมันปลาซึ่งมีประโยชน์ต่อร่างกาย
เนื้อปลาจะต้องปรุงอย่างไร
การที่จะให้ได้ประโยชน์จากเนื้อปลาแนะนำให้นำไป นึ่ง ย่าง อบ เผา ไม่แนะนำให้ทอด
เราแบ่งปลาเป็นกี่ชนิด
ปลาที่มีไขมันสูง Oily fish
ตัวอย่างปลาที่มีไขมันสูง salmon, mackerel, sardines, trout and herring ปลาดังกล่าวจะให้สารอาหาร
- อุดมไปด้วยน้ำมันปลาซึ่งป้องกันโรคหัวใจ
- มีวิตามินเอี และ วิตามินดีีมาก
ปลาที่มีเนื้อขาว White fish
ตัวอย่างปลาเนื้อขาวได้แก่ cod, haddock, plaice, pollack, coley, dab, flounder, red mullet, gurnard and tilapia
- ไขมันจะต่ำกว่าเนื้อหมู
- มีน้ำมันปลามากแต่น้อยกว่าปลาที่มีไขมัน
กุ้ง หอย ปู
- ไขมันจะต่ำ
- มีแร่ฐาตุที่สำคัญคือ selenium, zinc, iodine and copper
แต่ละคนจะรับปลาได้มากน้อยแค่ไหน
โดยทั่วไปปลาหนึ่งส่วนจะเท่ากับเนื้อปลาที่ปรุงสุกประมาณ 140 กรัม คนปรกติจะต้องการเนื้อปลาสองส่วนต่าอสัปดาห์ แต่จะแตกต่างตามเพศและอายุ
สำหรับปลาที่มีไขมัจะมีข้อแนะนำ
- เด็กและผู้ใหญ่ให้รับปลาได้ถึงสี่ส่วนต่อสัปดาห์
- สำหรับคนท้องหรือผู้ที่วางแผนจะตั้งครรภ์ให้รับปลาที่มีมันสูงได้ไม่เกินสองส่วนต่อสัปดาห์ เนื่องจากเกรงเรื่องสารปรอทในปลา
สำหรับปลาที่มีเนื้อขาวจะมีข้อแนะนำ(ได้แก่ปลา cod, haddock, plaice, pollack, coley, dover sole, dab, flounder, red mullet and gurnard )
- สามารถรับประทานได้เต็มที่ยกเว้นปลาฉลามและปลา Shark and marlin ซึ่งมีข้อจำกัดดังนี้
- เด็ก คนตั้งครรภ์ หรือวางแผนที่จะตั้งครรภ์ไม่ควรจะรับปลา Shark and marlin เนื่องจากมีสารปรอทในปริมาณที่สูง
- ผู้ใหญ่ไม่ควรจะรับปลา Shark and marlin มากกว่าหนึ่งส่วนต่อสัปดาห์
คำแนะนำเกี่ยวกับการรับประทานปลาในแต่ละกลุ่มคน
หญิงที่ตั้งครรภ์ ให้นมบุตร หรือวางแผนตั้งครรภ์
- ไม่ควรจะรับประทานปลา Shark, swordfish and marlin เนื่องจากมีสารปรอทสูง
- ปลาที่มีไขมันไม่ควรเกินสองส่วนต่อสัปดาห์
- ไม่รับประทานปลาทูน่ากระป๋องเกิน สี่กระป๋องต่อสัปดาห์ เนื่องจากสารปรอท
เด็กตั้งแต่ 6 เดือน
- ให้หลีกเลี่ยงปลา Shark, swordfish and marlin
- ไม่รับประทานกุ่ง ปูหอยดิบเนื่องจากอาจจะเกิดอาหารเป็นพิษ
Credit :siamhealth.net