ที่มา: ไทยรัฐ

มีน้องๆ ถามมาว่า “อาชีพไหนในวงการบันเทิงรวยที่สุด?” ดารานักแสดง นางแบบ พิธีกร นักร้อง นางงาม เขียนบท ผู้กำกับ ผู้จัดละคร? ท่านผู้อ่านลองเดาสิคะ?

b1

ถ้าคิดว่า ดารานักแสดง ที่จะรวยก็ต้องเป็นระดับซุปเปอร์สตาร์เท่านั้น เฉพาะคนที่มีงานโชว์ตัว งานพรีเซ็นเตอร์เยอะๆ ซึ่งดาราพันคน (โดยรวมรุ่นใหญ่รุ่นเล็กรุ่นเก่ารุ่นใหม่ก็น่าจะถึงพัน) ที่รวยจริงๆ ก็มีไม่ถึง 20 คน อีกห้าร้อยคนก็พวกสร้างเนื้อสร้างตัวเลี้ยงดูครอบครัวได้ ที่เหลือแค่พออยู่รอดเป็นงานๆ ไป ส่วนนางแบบก็ไม่ได้รับเนื้อๆ เน้นๆ แบบสมัยก่อน ทั้งโดนหักภาษีและโดนต่างชาติแย่งงาน ส่วนนักร้อง สมัยนี้ยากมากที่จะมีอัลบั้ม มีแต่ออกซิงเกิ้ล ค่าดาวน์โหลดอย่าหวังเพราะฟังฟรีได้ เน้นหวังให้เพลงติดหูแล้วค่อยมีงานโชว์ตัวพอแล้ว

bum03

ส่วนนางงาม? เฮ้อ! เดี๋ยวนี้เวทีผุดยิ่งกว่าดอกเห็ด ได้มงกุฎมาแล้วคนยังจำไม่ได้เลย มีงานต่อรึเปล่ายิ่งไม่ต้องพูดถึง ส่วนคนที่ได้มงกุฎก็มีบ้างที่ไปเล่นละคร กลายเป็นดาราจนคนลืมภาพนางงาม ส่วนคนเขียนบท อันนี้ขอบอกว่า เป็นอาชีพอิสระที่น่าสนใจและเป็นที่ขาดแคลนของวงการบันเทิง บุ๋มเองก็คิดว่า อาชีพนี้อาจจะทำต่อไปในอนาคต ซึ่งคนเขียนบทและผู้กำกับได้ค่าตัวตามเป็นตอนแบบดารา ดังนั้นไม่รวยกว่าดาราเท่าไร แถมงานหนักมากด้วย เพราะดารายังพักได้บางฉากแต่ผู้กำกับต้องดูแลทุกฉาก ไหนจะต้องไปเตรียมงาน ดูโลเกชั่นสถานที่ ประชุมทีมงาน ยากกว่าดาราเยอะ ส่วนผู้จัดละครก็คงรวยมั้ง เห็นได้จากดาราแต่ละคนที่ผันตัวไปเป็นผู้จัด ชีวิตก็ดูฟู่ฟ่าไปเมืองนอกกันเป็นว่าเล่น

bum

แต่ในความคิดของบุ๋ม บุ๋มว่า ผู้จัดการดารา รวยสุดค่ะ แม้ว่าผู้จัดการดาราบางคนจะมีการลงทุนกับเด็กที่จะปั้น ไม่ว่าจะค่าศัลยกรรม ค่าแต่งหน้าทำผม ค่าเสื้อผ้าแต่งตัว ค่านวดหน้าขัดผิว ค่ารถไปรับไปส่ง ค่าอาหารที่พัก (สำหรับเด็กต่างจังหวัด) ค่าเรียนการแสดง เรียนร้องเพลง แล้วไหนจะค่าของขวัญให้ผู้ใหญ่ที่ไปของานให้เด็กตัวเอง ค่าใช้จ่ายสูงมากและเป็นการลงทุนที่เสี่ยงเพราะยังไม่รู้ว่า เด็กที่ปั้นจะดังหรือจะดับ แต่ถ้ามามองอีกมุม ก็ไม่ใช่ว่าเด็กทุกคนที่ทางผู้จัดการต้องลงทุน ส่วนมากที่แมวมองคว้ามาก็มักจะมีต้นทุนที่ดีอยู่แล้ว ผู้จัดการบางคนแทบไม่ต้องทำอะไร มายังไงก็ลุยอย่างนั้น ขับรถรับส่งก็ไม่มี มีงานแคสติ้งที่ไหนก็ค่อยบอกเด็กให้ไปเอง แคสเอง พอได้งานก็มาหักเปอร์เซ็นต์ค่าตัว และส่วนมากคือให้เด็กเป็นคนเซ็นชื่อรับตังค์ค่าตัว สมมติค่าตัว 100 บาท ให้เด็กเซ็นรับเงินในชื่อของเด็ก 100 บาท ตัวผู้จัดการตามหัก 10-30% เหลือถึงเด็ก 70 บาท และเด็กต้องจ่ายภาษีปลายปีในยอด 100 บาท! ดังนั้นผู้จัดการก็จะได้เงินกินเปล่า ภาษีก็ไม่ต้องเสีย แถมกินยาว ใครไม่ต่อสัญญาก็มีข่าวเนรคุณ ทั้งๆ ที่บางคนมันคือการหนีตาย มีอย่างที่ไหน ไปแคสงานก็ไปเอง ไปถ่ายละครพ่อแม่ก็ไปรับไปส่งเอง แต่ตอนหักตังค์ตัวเองกลับรับไปเต็มๆ ซึ่งผู้จัดการดาราที่ทำแบบนี้ ไม่ใช่เฉพาะที่เป็นบุคคลทั่วไป แต่ตามช่องหรือค่ายใหญ่ก็ทำแบบนี้ แล้วถ้ายกเลิกสัญญาจะต้องมีค่ายกเลิกอีกต่างหาก ทั้งๆ ที่เหตุผลของการขอยกเลิกคือ การไม่มีงานอะไรเลย ผู้จัดการไม่เคยส่งงานอะไรเลยก็ตาม พอจะไปทำงานกับค่ายอื่นก็ไม่ได้เพราะหน้ามันเป็นของค่ายนี้ไปแล้ว ค่ายอื่นก็ไม่กล้าส่งงานกลัวมีปัญหา ดังนั้นจึงไม่แปลกที่จะเห็นดาราที่เริ่มมีผลงานพยายามฉีกสัญญากันเป็นแถว เพื่อหนีจากคนเก่าที่กดขี่สู่คนใหม่ที่ดูแลดีกว่า

ผู้จัดการดาราบางคนก็ฉลาดเป็นกรด อะไรที่เป็นช่องทางหาเงินได้เป็นทำหมด แถมยังทำตัวเป็นมาเฟียวงการบันเทิง ถ้าจะใช้เด็กฉันต้องใช้ยกเซต ห้ามปนจากค่ายอื่น ถ้าดาราในสังกัดเริ่มเข้าสู่ขาลงก็หาดาราคนอื่นในสังกัดมาเสียบแทบ เรียกได้ว่างานแทบไม่มีได้หลุดกระเด็นไปหาเด็กค่ายอื่น ไม่งั้นบรรดาผู้จัดการดาราเหล่านี้จะมีกระเป๋าแบรนด์เนมหิ้วกันไม่มีซ้ำได้อย่างไร ดูดีๆ ระยะหลังมีจัดงานวันเกิด มีธีมงานให้ตัวเองด้วย อัพเกรดตัวเองเป็นระดับซุป’ตาร์ เลิศป่ะล่ะ?

และที่บอกว่า ผู้จัดการดาราสมัยนี้ฉลาดมาก เพราะวิ่งหางานเอง ส่งเปอร์เซ็นต์ให้คนให้งาน (เข้าข่ายคอร์รัปชัน) ตกลงกับเจ้าของงาน 8 ล้าน มาบอกเด็กตัวเอง 5 ล้าน ตัวเองรับไปก่อนเงียบๆ 3 ล้าน และมาหักเด็กตัวเองอีก 30% จาก 5 ล้าน เรียกว่ามีแต่ได้กับได้ แต่ถ้ามองในมุมความสามารถถือว่า เค้าเก่ง ต่อรองได้เอง เด็กตกลงเองจะมาโวยทีหลังไม่ได้ แล้วผู้จัดการคนนึงก็มีเด็กหลายคนในมือ แล้วจะได้เงินเข้ากระเป๋าโดยที่ไม่ต้องจ่ายภาษีอีกเท่าไร คิดดู
เฮ้อ! ชักอยากเป็นผู้จัดการดาราแล้วสิ

ขอบคุณคอลัมภ์ คุยกับคนดัง โดยคุณบุ่มปนัดดา ไทยรัฐ
ขอบคุณภาพจาก ไทยรัฐ , IG: boompanadda

เรื่องน่าสนใจ