ปัจจุบันแม้ว่าจะมีวัคซีนป้องกันโรคนี้ออกมานานแล้ว แต่ยังพบผู้ป่วยเป็นโรคนี้อยู่มากมาย สาเหตุหลักที่ทำให้ผู้ป่วยไม่เข้ามารับวัคซีน นอกจากทุนทรัพย์ไม่เพียงพอแล้ว ยังเป็นเรื่องของการไม่เห็นความสำคัญของวัคซีน ไม่ทราบถึงอันตรายของโรคนี้ จึงทำให้เราอาจเพิกเฉยกับโรคนี้โดยไม่รู้ตัว
แม้จะเป็นโรคที่คุ้นเคยกันดีในหมู่คนไทย แต่น่าแปลกใจว่ายังมีความเชื่อผิดๆ เกี่ยวกับโรคนี้อยู่มาก ซึ่งทำให้หลายคนขาดโอกาสรับการรักษาจนหายขาด หรืออาจเป็นหนักจนไม่สามารถรักษาได้ ทั้งที่จริงแล้วโรคนี้ไม่ได้น่ากลัวขนาดนั้น
5 เรื่องที่มักเข้าใจผิดเกี่ยวกับ “ไวรัสตับบี”
ไวรัสตับบีในปัจจุบันมียาหลายชนิดทั้งยากิน ยาฉีด แพทย์จะเลือกใช้ตามความเหมาะสมของแต่ละราย แม้อาจจะต้องทานยาติดต่อกันเป็นเวลานาน หรือ อาจจะทานยาไปตลอดชีวิต
แต่จะสามารถควบคุมเชื้อไวรัสไม่ให้เพิ่มมากขึ้นได้ ทำให้อาการสงบ และไม่ลุกลามได้ ในอนาคตมียาที่กำลังวิจัยอยู่ สามารถฆ่าไวรัสที่ซ่อนในตับได้ ซึ่งทำให้มีโอกาสหายขาดได้
ผู้ป่วยไวรสตับบีทุกคนไม่ว่าจะเป็นชนิดไหน เช่น ตับอักเสบเรื้อรัง หรือพาหะ ทุกคนต้องได้รับการตรวจติดตามอย่างสม่ำเสมอ และ อาจต้องได้รับยาในบางคน โดยต้องกินยาสม่ำเสมอเช่นกัน ขึ้นอยู่กับการพิจารณาของแพทย์
เนื่องจากยาในปัจจุบันเป็นยาที่ทำให้ไวรัสไม่แบ่งตัว ทำให้ไวรัสสงบ แต่เมื่อหยุดยา ไวรัสอาจแบ่งตัวใหม่ และทำให้โรคกำเริบในที่สุด อาจยังมีความเสี่ยงในการเป็นตับแข็ง และมะเร็งตับได้ในอนาคต
อย่างที่บอกว่า ยาสำหรับควบคุมเชื้อไวรัส มีทั้งยากิน และยาฉีด แต่ก็ไม่ได้ความว่าจะต้องได้รับยาทุกคน เพราะไวรัสตับอักเสบมีทั้งที่เป็นแบบเรื้อรัง ( ที่ต้องทานยาตลอด ) และแบบเฉียบพลัน ซึ่งสามารถหายได้เอง โดยไม่ร้องรับการรักษา 80-90%
โดยทั่วไปแล้ว ราคาของวัคซีนไวรัสตับอักเสบบี จะอยู่ที่เข็มละ 200-300 บาท ต้องฉีดจำนวน 3 เข็ม เมื่อฉีดครบทั้ง 2 เข็ม จากนั้นเว้นระยะสักพัก หากตรวจเลือดพบว่ามีภูมิคุ้มกันแล้ว ก็จะมีภูมิคุ้มกันไปตลอดชีวิต แต่จะมีส่วนน้อยที่ตรวจหาภูมิคุ้มกันไม่เจอ อาจจะต้องฉีดใหม่
ปัจจุบันไวรัสตับอักเสบบีไม่ใช่โรคที่น่ากลัว เรามียาที่ช่วยควบคุมอาการไปได้ตลอดอยู่แล้ว และหากตรวจร่างกายไปเรื่อยๆ อาจพบค่าตับที่ปกติได้ อย่างไรก็ตามการเพิกเฉยต่อโรคนี้ ไม่เข้ารับการักษาอย่างจริงจัง เป็นเหตุให้พบผู้ป่วยเป็นโรคตับแข็ง และมะเร็งตับจากเชื้อที่ลุกลามของไวรัสตับอักเสบบีเป็นจำนวนมาก
ดังนั้นอยากให้รักร่างกายของตัวเองให้มากขึ้นอีกนิด เพราะการมาหาหมอในระยะสุดท้าย มันจะเป็นเรื่องน่าเศร้าที่หมอจะไม่สามารถช่วยอะไรได้แล้ว แม้ว่าจะมีวิธีรักษาง่ายๆ แค่ทานยาก็ตาม