1. ทานอาหารที่ให้แคลเซียม
ควรทานอาหารหรือเครื่องดื่มที่ให้แคลเซียมอย่างปลาเล็ก ปลาน้อย ผักใบเขียวทุกชนิดและผลิตภัณฑ์จากนมต่างๆ ได้แก่ ชีส โยเกิร์ต นมเปรี้ยว เต้าหู้ก้อนและงา เป็นต้น หมั่นทานเป็นประจำในปริมาณที่เหมาะสมรับรองค่ะว่าคุณจะได้รับแคลเซียมบำรุงร่างกายอย่างเพียงพอแน่นอน
2. ทานวิตามินดีและแมกนีเซียม
สามารถหาทานวิตามินดีได้จากปลาแซลมอน ไข่แดง เห็ด นม น้ำมันพืชและรับแสงแดดตอนเช้าวันละประมาณ 10-15 นาที ส่วนแมกนีเซียมจะทำหน้าที่ช่วยในกระบวนการสังเคราะห์และควบคุมการขนแคลเซียมเพื่อนำไปบำรุงส่วนต่างๆ ของร่างกายต่อไป
3. หลีกเลี่ยงการทานผักที่ดูดซึมแคลเซียม
ผักบางชนิดจะเข้าไปดูดซึมแคลเซียมเอาไว้ไม่ให้ไปบำรุงกระดูกของเราได้เท่าที่ควร ได้แก่ ผักโขม มันเทศ รำข้าวสาลี โปรตีนสกัดจากถั่วเหลืองและพืชที่มีเมล็ด เป็นต้น โดยสามารถแก้ได้ด้วยการทานผักที่มีแคลเซียมปานกลางถึงสูง แต่มีปริมาณออกซาเลตต่ำ เช่น ผักคะน้า กวางตุ้ง ตำลึง ถั่วพลูและใบบัวบก เป็นต้น
4. เลี่ยงเครื่องดื่มที่ทำลายการดูดซึมแคลเซียม
ควรหลีกเลี่ยงเครื่องดื่มน้ำอัดลม ชา กาแฟ เหล้าหรือเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมจากแอลกอฮอล์และไม่ควรสูบบุหรี่ด้วย เนื่องจากมันจะเข้าไปขัดขวางการดูดซึมแคลเซียมภายในระบบทางเดินอาหาร ร่างกายก็จะได้รับแคลเซียมในปริมาณไม่เพียงพอตามมานั่นเอง
5. เลือกออกกำลังกายที่เหมาะสมถูกต้อง
การออกกำลังกายอย่างเหมาะสมถูกต้องจะช่วยเสริมสร้างความแข็งแร็งให้กระดูก กระดูกของเราก็จะได้ออกแรงในการทำงานไปด้วย ทั้งยังสามารถชะลอภาวะการเกิดโรคกระดูกพรุนได้อีกด้วยนะคะ แนะนำให้เล่นกีฬาประเภทแบตมินตัน บาสเกตบอล วอลเลย์บอลและตีเทนนิส โดยเล่นอย่างน้อยสัปดาห์ละ 2-3 วันวันละ 1 ชั่วโมง แต่ในกรณีที่เป็นผู้สูงอายุการออกกำลังกายที่เหมาะสมควรเลือกแบบที่มีแรงกระแทกต่ำ เช่น การเต้นแอโรบิก เดิน ตีกอล์ฟ โยคะ ไทชิและการฝึกด้านการทรงตัว เป็นต้นค่ะ เพียงเท่านี้ก็จะช่วยลดโอกาสเสี่ยงจากการหกล้มจนส่งผลให้กระดูกหักได้แล้ว
คนเราเมื่ออายุมากขึ้นร่างกายยิ่งสูญเสียแคลเซียมมากขึ้นตามเท่านั้น และกับผู้หญิงด้วยแล้ว รอบเดือนของผู้หญิงที่มาแต่ละครั้งจะดูดซึมเอาแคลเซียมจากกระดูกให้ออกมาพร้อมกัน ไม่แปลกใจเลยที่ว่าเมื่อผู้หญิงเราอายุมากขึ้น จึงมีโอกาสเสี่ยงเป็นโรคกระดูกพรุนได้ง่าย ดังนั้น เราคงต้องหันมาทานอาหารที่ให้แคลเซียมกันตั้งแต่เนิ่นๆ แล้วล่ะ และรับรองหากทำตามนี้คุณจะมีสุขภาพแข็งแรงไปทุกวันแบบไม่ต้องกลัวร่างกายขาดแคลเซียมอีกเลย
ขอบคุณที่มา http://women.sanook.com/