จากกรณีกระแสดังในโลกโซเชียล ที่เพจดังได้โพสต์ภาพกุฏิที่ตกแต่งอย่างหรูหรา โดยระบุว่าเป็นวัดที่อยู่พื้นที่ อ.แม่อาย จ.เชียงใหม่ ผู้สื่อข่าวจึงเดินทางไปยังวัดสันต้นดู่ หมู่ 6 ต.ท่าตอน อ.แม่อาย จ.เชียงใหม่ เพื่อสอบถามถึงเหตุการณ์ที่เป็นกระแสอยู่โลกโซเชียล เมื่อเดินทางไปถึงพบกับพระโทนี่ กตสิททฺโท หรือพระโทนี่ อายุ 34 ปี เป็นชาวมาเลเซียเชื้อสายจีน จึงสอบถามถึงภาพที่ปรากฏในโลกโซเชียล
ทางด้านพระโทนี่ยอมรับกับผู้สื่อข่าวว่า ภาพดังกล่าวเป็นภาพจากเฟซบุ๊คส่วนตัวของตนเอง และไม่ทราบว่าไปโผล่ในเพจดังได้อย่างไร เนื่องจากภาพดังกล่าวเป็นภาพเมื่อปี 2558 ซึ่งเป็นช่วงที่ทางวัดมีการจัดงานฝังลูกนิมิตอุโบสถ ตนตั้งใจโพสต์เพื่อให้ญาติโยมศรัทธาที่อยู่ในประเทศมาเลเซียและสิงคโปร์ได้เห็นภาพในการทำบุญและกิจกรรมที่จัดขึ้นในวันนั้น เนื่องจากศรัทธาที่ญาติโยมจากต่างประเทศที่ร่วมทำบุญแต่ไม่สามารถมาร่วมงานจะได้เห็นด้วย
ภาพที่มีการเตรียมสำรับอาหารนั้น เป็นการเตรียมให้พระผู้ใหญ่ที่มาร่วมในพิธีฝังลูกนิมิต ซึ่งโดยปกติตนไม่ได้ใช้ห้องนั้นเป็นประจำ จะใช้ก็เฉพาะตอนที่มีการรับรองพระชั้นผู้ใหญ่และปกติจะรับประทานอาหารจากปิ่นโตที่ชาวบ้านนำมาถวาย ไม่ได้ใช้ชุดจานชามในภาพที่ปรากฏขึ้น ส่วนรถยนต์หรูคันดังกล่าวไม่ใช่ของพระโทนี่ หากแต่เป็นรถของเพื่อนชาวมาเลยเซียที่มาเยี่ยมตนเอง
ส่วนกุฏิดังกล่าว ญาติของตนเองที่มาเลเซียเป็นคนบริจาคสร้างให้และเป็นคนออกแบบให้ เนื่องจากเดินทางด้านพี่สาวกับญาติมาเห็นสภาพกุฏิที่ทรุดโทรมแล้วรู้สึกเป็นห่วง โดยปรับปรุงจากของเดิมที่มีสภาพทรุดโทรม โดยใช้เวลาทำอยู่หลายปี ซึ่งตนเองก็ไม่ได้มาจำวัดที่นี้เป็นประจำ ยังต้องเดินทางไปเผยแผ่ศาสนาที่มาเลเซียและสิงคโปร์ จะกลับมาเพียง 3-4 วันต่อเดือน
โดยตนเองเริ่มบวชเป็นพระเมื่อปี 2555 ที่วัดธรรมกาย และเรียนได้เรียนรู้ภาษาไทยจากที่วัดธรรมกาย ต่อมาเพื่อนชาวมาเลเชียที่แต่งงานกับชาวบ้านในพื้นที่สันต้นดู่ได้ชักชวนให้มาจำวัดที่นี้
ส่วนทางด้านนายอำนาจ สิงค์ไข และนางอรุณศรี ใจแก่น ชาวบ้านสันต้นดู่ ให้สัมภาษณ์ว่า ตั้งแต่พระโทนี่มาอยู่ก็ไม่ได้มีปัญหาใดๆ กับทางหมู่บ้าน แถมยังพัฒนาวัด พัฒนาหมู่บ้าน ซึ่งเวลาวัดมีงาน ชาวบ้านกับทางวัดก็ยังร่วมมือกันเป็นอย่างดี
ส่วนเรื่องอาหารที่พระโทนี่ฉันนั้น เป็นอาหารง่ายๆ ไม่หรูหราอะไร อย่างดีสุดก็เป็นเพียงไก่ย่างห้าดาวเท่านั้น ซึ่งตนเองและชาวบ้านยังรู้สึกตกใจเมื่อเห็นข่าวของพระโทนี่ โดยคิดว่าเป็นเพียงมุมมองของโลกโซเชียลเท่านั้น