สะพัดนักศึกษาสาวมหาวิทยาลัยดังเชียงใหม่กิน-ฉีดสารเร่งผิวขาวจนต้องหามส่งโรงพยาบาล เจาะเลือดเจอข้นคลั่กจนส่งแล็บไม่ได้ ด้านนายแพทย์ สสจ.เตือน ฉีด-กินกลูตาไธโอนเร่งผิวขาวสุดอันตราย เสี่ยงตายได้
วานนี้ (22 ก.ค.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ขณะนี้มีการแชร์ข้อความ พร้อมภาพเลือดที่ได้จากตัวผู้ป่วยผ่านเฟซบุ๊กเพื่อเตือนภัยถึงการทำสีผิวขาวว่า เมื่ออาทิตย์ที่ผ่านมามีเด็กนักศึกษามหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง ทั้งกิน และฉีดยากลูตาหนักจนตับพัง หายใจเองไม่ได้ เจาะตรวจเลือดข้นขุ่นจนตรวจทางผลแล็บไม่ได้ ซึ่งแอดมิตอยู่ที่โรงพยาบาลมหาราชนครเชียงใหม่ แต่ทางโรงพยาบาลมหาราชนครเชียงใหม่ไม่สามารถเปิดเผยข้อมูลเรื่องดังกล่าวได้ เพราะจะเป็นการละเมิดสิทธิของคนไข้ และญาติได้
อย่างไรก็ตาม ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาคนในสังคมออนไลน์ต่างรับรู้กันทั่วว่ามีการโฆษณาขายสารทำผิวขาวกันอย่างแพร่หลายและมีหญิงสาวหลายคนตกเป็นเหยื่อมาแล้ว รวมถึงนักศึกษาหญิงของมหาวิทยาลัยชื่อดังของเชียงใหม่รายล่าสุดนี้ด้วย
ด้าน นพ.ไพศาล ธัญญาวินิชกุล นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดเชียงใหม่ เปิดเผยว่า ประเด็นที่มีเด็กนักศึกษาป่วยแล้วทำการรักษาที่โรงพยาบาลมหาราชนครเชียงใหม่ เนื่องจากกินยาบางประเภทเข้าไปเพื่อให้ผิวขาวขึ้น ซึ่งเรารู้จักกันดีในชื่อกลูตาไธโอน
ตัวกลูตาไธโอนจะยับยั้งการเกิดเม็ดสีผิวและทำให้ผิวขาวขึ้นได้ แต่อย่างไรก็ตาม ในตัวกลูตาไธโอนเองเป็นสารเคมี ทำให้ก่อให้เกิดสิ่งผิดปกติทางร่างกาย โดยเฉพาะบางคนที่มีปัญหาเรื่องของปฏิกิริยาการนำสารเคมีขนส่งระหว่างเซลล์ที่ไว ก่อให้เกิดปัญหาหลายระบบต่อร่างกาย ทั้งระบบตับ ไต หรือระบบเลือดต่างๆ ก็ปรากฏอย่างที่มีข่าวว่า มีเด็กซึ่งป่วยจากการกินยาเพิ่มความขาวของสีผิว
ทั้งนี้ “กลูตาไธโอน” ไม่มีเจตนาผลิตออกมาเพื่อดำเนินการเรื่องของการเสริมสวย และตัวมันเองก็มีพิษร้ายแรง คงจะต้องฝากเตือนประชาชน เด็ก และเยาวชน ที่จะใช้สารกลูตาไธโอนทำให้ผิวขาว ขอให้ใช้สติปัญญายับยั้งใจก่อนที่จะใช้ยาตัวนี้ ถ้าจะใช้ก็ขอเตือนว่าเป็นยาที่มีอันตรายอย่างมากพอสมควร การเสริมสวยไม่มีความจำเป็นที่จะเอาชีวิตเข้าไปเสี่ยงกับความเป็นความตายเพื่อแลกความขาวของสีผิว โดยความขาวดังกล่าวก็ไม่ยั่งยืนอะไร พอสารหมดฤทธิ์แล้วสีผิวก็จะกลับมาเป็นอย่างเก่า แต่อันตรายจะยังคงตกค้างในร่างกายตลอดไปด้วย
นพ.ไพศาล เปิดเผยต่อว่า สำหรับความร้ายแรงของการกินยาหรือฉีดยานั้นแล้วแต่ความไวของร่างกายของแต่ละบุคคล ทั้งกินและฉีดเองก็มีปัญหากับร่างกายอยู่ตลอด ถ้าร่างกายรับรู้ความไวต่อสารเคมีตัวนี้มากก็ได้รับผลข้างเคียงรุนแรงตามไปด้วย
ขอบคุณที่มา ผู้จัดการออนไลน์