เมื่อภารกิจใหม่ของหน่วยปฏิบัติการลับ CIA ที่ถนัดการฆ่ากวาดล้างอาชญากรแบบไร้ร่องรอย คือการอารักขาควบคุมตัว Li Noor สายลับอินโดนีเซียในระยะทาง 22 ไมล์ ให้เดินทางออกจากสถานทูตอเมริกาไปขึ้นเครื่องบินหนีออกนอกประเทศ เพื่อแลกกับข้อมูลสำคัญที่มีผลต่อการก่อวินาศกรรม ทว่ารัฐบาลอินโดอันฉ้อฉลก็ไม่มีทางปล่อยตัวเค้าไปง่ายๆ การไล่ล่าล้างบางแบบเดือดสุดอะไรสุดจึงเกิดขึ้น มากไปกว่านั้น ดูเหมือนยังมีอะไรซ่อนเงื่อนซ่อนปมให้คนดูอย่างเราต้องจับตาดูและตั้งใจฟังสิ่งที่ตัวละครพูดแบบไม่ให้มีอะไรตกหล่น

 

Mile 22

 

ความน่าทึ่งของ Mile 22 คือการรวบรวมจุดแข็งในตัวทีมงานและนักแสดงแต่ละคนมาใช้ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ ทั้ง Peter Berg ผู้กำกับที่ถนัดทั้งงานแอ็คชั่นอันสมจริง-ดราม่าการเมืองเดือด-จังหวะคมๆ แบบงาน MV (ในเครดิตของเค้ามีทั้งงานแบบ Lone Survivor, Patriots Day และสารคดีคอนเสิร์ตศิลปินดังๆ), Mark Wahlberg ที่เชื่อใจได้เรื่องความน่าเชื่อถือของงานแอ็คชั่นหนักๆ และดราม่าหน่วงๆ แถมคราวนี้บทของเค้าก็เรียกร้องพลังแบบไม่ธรรมดาเลย, Iko Uwais นักแสดงหนุ่มจากอินโดนีเซีย ที่สร้างความฮือฮาเมื่อหนัง The Raid: Redemption ของเค้าออกฉาย ด้วยลีลาคิวบู๊ที่ดุเดือดยิ่งกว่า จา พนม โดยนอกจากจะมารับบทเป็นสายลับตัวละครหลักแล้ว ยังรับผิดชอบดูแลคิวบู๊ใน Mile 22 ด้วย ซึ่งนั่นก็ทำให้ฉากแอ็คชั่นในหนังเต็มไปด้วยศิลปะการต่อสู้แบบถึงเนื้อถึงตัว ดูเจ็บ และตื่นตามากกว่าการตั้งท่าจะยิงกันอย่างเดียว

แค่ฉากเปิดเรื่องก็ทำให้คนดูอย่างเราๆ นั่งไม่ติดเก้าอี้กันแล้ว เมื่อหน่วยปฏิบัติการลับบุกเข้าไปในบ้านของกลุ่มอาชญกรรัสเซีย โดยใช้ทั้งเทคโนโลยีอันทันสมัย (แบบสมจริง และเชื่อว่ารัฐบาลอเมริกันก็ใช้งานจริง) และทักษะอันปลิดชีพที่ทุกคนถูกฝึกฝนมาอย่างดี และหลังจากนั้น เมื่อหนังค่อยๆ หยอดเลือดเนื้อให้กับแต่ละตัวละครที่มีบาดแผลกันถ้วนหน้า เราก็ยิ่งเอาใจช่วยพวกเค้ามากขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะ James Silva ตัวละครของ Mark Wahlberg ที่มีลักษณะพิเศษ ควบคุมอารมณ์ไม่ได้ พูดรัวเร็วไม่หยุด และเดือดตลอดเวลา, Lauren Cohan ในบท Alice สายลับสาวที่กำลังมีปัญหาครอบครัว และต้องพยายามควบคุมอารมณ์เพื่อปฏิบัติภารกิจเช่นกัน ไปจนถึงตัวละครนิ่งๆ ของ Iko Uwais แววตาของเค้ามันเล่าเรื่องราวและชอบมากที่แอ็คชั่นที่เห็นมันก็มีดราม่าอยู่ในนั้นด้วย

 

 

ทั้งสามตัวละครหลักนี้ทำให้เรามองเห็นตัวเองในช่วงเวลาต่างๆ ของชีวิต การบ้าคลั่งงาน เกรี้ยวกราด เอาตัวเองเป็นจุดศูนย์กลางจักรวาล และสนใจเป้าหมายมากกว่าวิธีการในตัว James Silva, ภาวะล้มเหลวในการจัดการชีวิตความรัก/ครอบครัว การต้องลงมือทำงานยุ่งยากในช่วงเวลายากๆ ของชีวิตแบบ Alice และช่วงเวลานิ่งๆ สงบๆ แบบตัวละครของ Iko ก็มีความหมายอะไรแฝงอยู่ในนั้น ที่สุดแล้ว เราไม่ได้มองว่านี่คือหนังแอ็คชั่นแต่เพียงอย่างเดียว แต่มันคือหนังที่พูดถึงชีวิตของคนทำงานที่เอาหน้าที่งานการเป็นเป้าหมายใหญ่ของชีวิตด้วยต่างหาก

เอาจริงๆ เราไม่มีข้อโต้แย้งใดๆ เลยกับการสร้างจังหวะลุ้นระทึกให้เกิดขึ้นในแต่ละนาทีที่หนังดำเนินไปเลย ทั้งๆ ที่เส้นทาง 22 ไมล์มันไม่ได้มากมายอะไร ฉากแอ็คชั่นแต่ละฉากนั้นดุเดือดสมจริง มีความหลากหลาย และขับเคลื่อนเรื่องไปข้างหน้าตลอดเวลา และชอบมากขึ้นไปอีก เมื่อหนังเลือกการหักเหลี่ยมเฉือนคมมาใช้เป็นไพ่เด็ดในการเล่าเรื่อง หรือแม้กระทั่งการแทรกฉากให้ตัวละคร James Silva นั่งให้สัมภาษณ์/ให้ปากคำถึงภารกิจในวันนั้นเข้ามาเป็นระยะตลอดเรื่อง กระนั้น เราก็ได้ยินเสียงบ่นจากคนรอบข้างถึงการเรียกร้องสมาธิในการดูหนังหรือปะติดปะต่อเรื่องมากกว่าการดูหนังแอ็คชั่นทั่วไป เพราะฉะนั้น ขอเตือนอีกครั้งว่า จงเปิดตาให้กว้างและเปิดหูให้พร้อมฟังตัวละครพล่ามร่ายยาวรัวเร็วอย่างกับเพลงแร็พเอาไว้ให้ดี!

Mile 22 เข้าฉายในโรงภาพยนตร์ 30 สิงหาคมนี้

 

 

ขอบคุณเนื้อหาจาก ชีวิตผมก็เหมือนหนัง
ชีวิตผมก็เหมือนหนัง นามปากกาของนักเขียนบทวิจารณ์ภาพยนตร์ ละครเวที และเพลง เจ้าของแฟนเพจ “ชีวิตผมก็เหมือนหนัง” ที่ยังคงเขียนบทวิจารณ์ไปเรื่อยๆ ตราบใดที่ยังเสพงานศิลปะในรูปแบบต่างๆ อยู่เสมอ ติดตามผลงานอื่นๆ ของเขาได้ที่ www.facebook.com/LifeLikeMovies

 

ป้ายกำกับ:

เรื่องน่าสนใจ