ผ่าตัดเปลี่ยนแนวเข่า ประโยชน์ของการรักษาภาวะขาโก่ง – เข่าโก่ง ซึ่งเราเชื่อว่า หลายคนคงเคยได้ยินเรื่องภาวะขาโก่งในเด็กมาบ้างแล้ว แต่ทราบหรือไม่ว่า จริงๆ แล้ว ภาวะขาโก่ง สามารถเกิดในผู้ใหญ่ได้เช่นกัน โดยเฉพาะคนในวัยใกล้ 60 ปีเป็นต้นไป ซึ่งส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจําวัน และบั่นทอนคุณภาพชีวิตเป็นอย่างมาก
ภาวะขาโก่ง หรือเข่าโก่ง ที่พบในเมืองไทยส่วนใหญ่คือในคนสูงอายุวัย ใกล้จะ 60 ปี คนเหล่านี้จะมีเข่าโก่งผิดรูป ซึ่งหลายๆ คนก็เป็นมาแต่กําเนิด แต่เหตุที่ เพิ่งจะมีอาการ ก็เพราะอวัยวะภายในนั้น อยู่ในแนวซึ่งไม่ถูกต้องมาเป็นระยะเวลานาน ทําให้มีการเสื่อม การฉีกขาดของผิวข้อแหวนรองข้อ ทําให้เกิดภาวะไม่สมดุลขึ้น อาการจึงปรากฏให้เห็นในวัยใกล้ 60 หรือ 60 ปีไปแล้ว เราจึงเรียกภาวะนี้ว่า ขาโก่ง เข่าโก่งผิดรูป อันเนื่องมาจากการเสื่อมของข้อเข่า
ดังนั้น การรักษาเข่าโก่งผิดรูป แท้จริงแล้วก็คือการรักษาภาวะข้อเข่าเสื่อมนั่นเอง ซึ่งในคนที่เป็นข้อเสื่อมจนต้องผ่าตัดกันทั่วไปนั้น ถ้าดูให้ลึกแล้ว ส่วนใหญ่จะมี ภาวะเข่าโก่งผิดรูปร่วมด้วย มากบ้างน้อยบ้าง แตกต่างกันไปในแต่ละคน
แน่นอนว่า เมื่อเกิดความเสื่อมของข้อเข่าแล้ว หากไม่รับการรักษา ก็ย่อมจะกระทบและรบกวนคุณภาพชีวิต ดังนั้น วิธีการรักษา แพทย์จะพิจารณาเริ่มด้วยวิธีการไม่ผ่าตัดก่อน คือ
หากได้รักษาด้วยวิธีการเหล่านี้แล้วอาการยังไม่ดีขึ้น แพทย์อาจต้องพิจารณาให้เข้ารับการผ่าตัดเพื่อแก้ไขเข่าโก่งผิดรูป จากภาวะข้อเสื่อม โดยในการผ่าตัดนั้น มี 2 วิธีด้วยกัน คือ
การผ่าตัดเปลี่ยนแนวเข่า เป็นอีกหนึ่งวิธีในการผ่าตัดรักษาเข่าโก่ง อันเนื่องมาจากข้อเข่าเสื่อม ซึ่งปัจจุบัน ในเมืองไทยมีแพทย์ที่ให้การรักษาด้วยวิธีนี้เพียงไม่กี่คน และคนไข้น้อยรายที่จะรู้จักวิธีนี้ วัตถุประสงค์ของการผ่าตัดวิธีนี้ ก็เพื่อเป็นการจัดแนวเข่าให้กลับมาอยู่ในตําแหน่งที่ถูกต้อง จากภาวะเข่าโก่ง ซึ่งจะช่วยให้การกระจายน้ำหนักถูกต้องตามที่ควรจะเป็น ไม่ทําให้น้ำหนักไปตกอยู่ด้านใดด้านหนึ่ง คือเดิมเคยตกอยู่ที่จุดเดียวของเขา ก็กระจายไปทั่วเข่า จึงช่วยลดความเจ็บปวดจากภาวะเข่าเสื่อม
ซึ่งวิธีผ่าตัดนี้ อาจรียกได้ว่าเป็นวิธีผ่าตัดแบบประคับประคอง เพราะยังคงใช้ข้อเข่าเดิมของคนไข้อยู่ แต่ตัดต่อเพื่อเปลี่ยนแนวให้ถูกต้อง ข้อดีของวิธีการนี้ก็คือเป็นการผ่าตัดที่ธรรมชาติ คือใช้ข้อกระดูกของตัวเอง เพราะฉะนั้น จะเหมาะกับคนไข้ซึ่งอายุไม่เยอะ คืออายุยังไม่ถึง 60 ปี และคนที่ยังต้องการกลับไปทํา กิจกรรมหนักๆ อยู่ เช่น คนที่ชอบเล่นกีฬา เทนนิส นอกจากนี้ ยังเหมาะกับคนที่พยาธิสภาพที่เกิดขึ้นยังไม่กระจายตัวไปทั้งหมด เพราะเมื่อผ่าตัดแล้วจะได้กระจายน้ำหนักไปยังด้านที่ดีได้ โดยหลังจากผ่าตัด ก็ต้องใช้อุปกรณ์ช่วยเดินประมาณ 4 – 6 สัปดาห์ ก็สามารถกลับไปใช้งานข้อเข่าได้ตามปกติ
ส่วนการผ่าตัดเปลี่ยนข้อเข่าเทียม หลายคนคงพอทราบแล้ว ว่าเป็นการผ่าตัดเอาผิวข้อที่เสื่อมสภาพออก แล้วนําเอาพลาสติกหรือเหล็ก ซึ่งเป็นวัสดุที่ใช้ทําข้อเข่าเทียมใส่เข้าไปแทนที่ วิธีการนี้ เหมาะสําหรับคนที่ไม่จําเป็นต้องกลับไปทํากิจกรรมหนักๆ น้ำหนักตัวไม่เยอะ และอายุเกิน 60 – 65 ปี ไปแล้ว ซึ่งข้อดีของวิธีการนี้ก็คือ ใช้เวลาพักฟื้นน้อยกว่า
หลายๆ คนชอบพูดว่าวิธีนี้ เป็นการผ่าตัดเพื่อซื้อเวลาสัก 5 – 7 ปี ก็ต้องไปผ่าตัดเปลี่ยนข้อเทียมใหม่ แต่มันเป็นการผ่าตัดเพื่อรักษา ซึ่งเราสามารถกลับไปใช้ชีวิตปกติได้ ไม่ต่ำกว่า 10 ปี แต่อย่างไรก็ตาม คนที่ได้รับการผ่าตัดเปลี่ยนแนวเข่าไปแล้วนั้น หากจําเป็นต้องกลับมาเปลี่ยนข้อเข่าเทียมในอนาคต ก็สามารถทําได้
…………………………………………………………………………………………………..
แม้การผ่าตัดเปลี่ยนแนวเข่า จะเป็นการผ่าตัดที่มีภาวะแทรกซ้อนจากการผ่าตัดน้อย เมื่อเทียบกับการผ่าตัดข้อเทียม ส่วนหนึ่งเพราะไม่มีการใส่วัสดุหรือสิ่งแปลกปลอมเข้าไป แต่การผ่าตัดจะได้ผลดีมากน้อยแค่ไหนนั้น ก็ขึ้นอยู่กับความร้ายแรง และอาการของคนไข้ รวมถึงความชํานาญ ของแพทย์ผู้ทําการผ่าตัดด้วย ดังนั้น ไม่ใช่ว่าทุกคนจะสามารถผ่าตัดด้วยวิธีเปลี่ยนแนวเข่าได้ ขึ้นอยู่กับว่าข้อเข่าเดิมนั้นมีความเสื่อมสภาพไปมากน้อยแค่ไหน ถ้าเสื่อมมาก ก็อาจต้องเลือกใช้การผ่าตัดเปลี่ยนข้อเข่าเทียม…เรียกได้ว่า แต่ละวิธีนั้นมีข้อดีข้อเสีย และความเหมาะสมกับแต่ละคนแตกต่างกัน
เนื้อหาโดย Dodeden.com