เว็บไซต์ Naver ของเกาหลี ได้มีการเปิดเผยรายงานข่าวของครอบครัวชาวเกาหลีครอบครัวหนึ่ง ที่ได้สูญเสียสมาชิกในครอบครัวไปอย่างไม่มีวันกลับ จากการเข้ารับการทำศัลยกรรมใบหน้าในคลินิกแห่งหนึ่ง แต่สุดท้ายครอบครัวของผู้เสียชีวิตกลับไม่สามารถเอาผิดคลินิกศัลยกรรมที่ทำให้มีผู้เสียชีวิตได้เลย เพราะเหตุใดไปติดตามอ่านจากเรื่องราวนี้กัน
สัมภาษณ์คุณควอนแทฮุน พี่ชายของควอนแดฮี (ผู้เสียชีวิต) คุณควอนแทฮุน (35ปี) ไม่สามารถลืมเรื่องราววันนั้นเมื่อ 4 ปีก่อนได้ เขาได้รับโทรศัพท์จากเบอร์ที่ไม่รู้จัก ก่อนจะมุ่งตรงไปยังห้องฉุกเฉินของโรงพยาบาลมหาวิทยาลัย และพบกับภาพของน้องชาย (คุณควอนแดฮี) ที่นอนไม่ได้สติอยู่อย่างน่าสงสาร
วันที่ 9 กันยายน ปี 2016 ช่วงหลังเที่ยงคืนที่คุณแทฮุนกำลังเก็บร้านหลังจากเลิกงาน ผู้ที่โทรเข้ามาหาคุณแทฮุนคือตัวแทนจากโรงพยาบาลㅈ เขาแจ้งว่าคุณแดฮีผ่าตัดเสร็จเรียบร้อย แต่ในขณะที่อยู่ในห้องพักฟื้นเกิดอาการความดันตกจึงทำการส่งตัวไปยังโรงพยาบาลขนาดใหญ่ ซึ่งคุณแทฮุนคิดว่ามันไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร แต่เมื่อไปถึงยังโรงพยาบาล คุณแดฮี น้องชายของเขาสวมชุดคนไข้เปื้อนเลือดและอยู่ในอาการหมดสติ ใบหน้าบวม โดยวิสัญญีแพทย์ของโรงพยาบาลㅈที่มาถึงก่อนและอยู่ในห้องฉุกเฉิน กล่าวกับเขาว่า “คนไข้ปลอดภัย หากรับการรักษาแล้วก็จะอาการดีขึ้น” แต่คำพูดนี้กลับต่างจากคำพูดของแพทย์ของโรงพยาบาลใหญ่
“คนไข้อาการไม่ดี และ จะต้องทำการรักษาเพื่อป้องกันภาวะสมองขาดออกซิเจนและเลือด” โดยจะต้องค่อยๆปรับให้ระบบไหลเวียนโลหิตช้าลง โดยให้คุณควอนแทฮุนเซ็นต์ยินยอมผ่าตัดในฐานะผู้ปกครอง คุณแดฮีใส่เครื่องช่วยหายใจเพื่อยื้อเวลา ก่อนจะเสียชีวิตลงใน 49 วันถัดมา โดยคุณแทฮุนไม่ได้แม้แต่จะกล่าวคำอำลากับน้องเป็นครั้งสุดท้าย
หลังจากวันนั้น คุณแทฮุนและคุณแม่ อีนากึม ก็ได้ทำการต่อสู้กับโรงพยาบาลยาวนานเป็นเวลานับ 4 ปี ภาพ CCTV ที่ทั้งแม่ลูกได้รับมานั้นเผยฉากที่แทบไม่น่าเชื่อ พยาบาลที่รับผิดชอบเคสกำลังนั่งแต่งหน้าโดยไม่สนใจคนไข้ที่กำลังนอนอยู่บนเตียงซึ่งก็คือคุณแดฮี จนกระทั่งคนไข้มีอาการเลือดไหลไม่หยุด พยาบาลจึงทำการห้ามเลือดอยู่คนเดียวนานกว่า 30 นาที ซึ่งถือเป็นการกระทำที่ละเมิดกฎหมายทางการแพทย์
คุณแดฮีเลือดไหลออกมาเป็นปริมาณ3.5ลิตร ซึ่งถือเป็นปริมาณเลือดทั้งหมดของผู้หญิงน้ำหนัก45กิโลกรัม โดยคุณแดฮีถูกปล่อยทิ้งไว้ในห้องพักฟื้นนานถึง 7 ชั่วโมง ก่อนจะถูกนำตัวส่งห้องฉุกเฉิน เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นขณะที่คุณแดฮีแอบมาทำศัลยกรรมโดยไม่บอกให้ครอบครัวรู้หลังจากปลดประจำการทหาร ตลอดระยะเวลา 4 ปีของการต่อสู้ มีคำถามหนึ่งที่ไม่เคยออกไปจากหัวของคุณแทฮุนเลย “ผู้เสียหายก็คือครอบครัวของเรา แต่ทำไมเราต้องมารับความเจ็บปวดนี้ด้วย”
หลังเกิดเหตุครั้งนั้น โรงพยาบาลㅈก็ยังคงไม่แยแส โดยยังขึ้นป้ายโฆษณา “ไม่เคยเกิดอุบัติเหตุตลอด 14 ปี” และยังให้บริการตามปกติ ทั้งคุณแทฮุนและคุณแม่ต่างก็ต้องสละเวลาส่วนตัวเพื่อที่จะเผยหลักฐานความผิด แต่ทางโรงพยาบาลก็จ้างทนายความค่าตัวสูง และ ยังคงเปิดให้บริการตามปกติ
การจะเปิดเผยชื่อโรงพยาบาลนั้นทำได้ยาก เนื่องด้วยข้อกฎหมายเรื่องหมิ่นประมาททำให้เสียชื่อเสียง ถึงแม้จะเคยอัพโหลดข้อความในแอพพลิเคชั่น และ เว็บไซต์ต่างๆที่เกี่ยวข้องกับการศัลยกรรมแล้ว แต่ทางโรงพยาบาลก็จับตาดูอยู่ตลอดทำให้ข้อความเหล่านั้นถูกลบทิ้งในทันที ยิ่งกว่านั้นทางโรงพยาบาลㅈยังกล่าวอีกว่า “ถ้าทำแบบนี้ก็คงต้องฟ้องร้องเท่านั้น ทางเราไม่อยากฟ้องร้องหมิ่นประมาททำให้เสียชื่อเสียง เพราะฉะนั้นหยุดอัพข้อความแบบนี้แล้วไปสู้กันด้วยข้อกฎหมายดีกว่า”
คุณแทฮุนรู้สึกอึดอัดใจเป็นอย่างมาก ทำไมฝ่ายที่ออกมาเอ่ยปากให้ฟ้องร้องทางกฎหมายกลับเป็นฝ่ายโรงพยาบาล ไม่ใช่ฝ่ายผู้เสียหายอย่างครอบครัวของผู้เสียชีวิต คำตอบได้มลายหายไปในช่วงเวลาตลอด 4 ปีที่ผ่านมา ถึงแม้ว่าจะทำการสืบสวนนานกว่า 3 ปี แต่ผลลัพท์ที่ออกมาช่างน่าเศร้า ศาลรับฟ้องเพียงข้อหาอาญาคือข้อหาฆ่าคนโดยประมาท แต่ยกฟ้องข้อหาทำการรักษาโดยไม่มีใบอนุญาติ ซึ่งข้อหานี้สามารถลงโทษให้โรงพยาบาลหยุดให้บริการได้ และถึงแม้ว่าศาลจะตัดสินว่าโรงพยาบาลผิดจริง แต่นั่นก็ไม่ได้ส่งผลกระทบอะไรต่อโรงพยาบาลรุนแรงนัก
และนี่คือบทสัมภาษณ์คุณแทฮุนที่ต่อสู้มาอย่างยากลำบากถึง 4 ปี
– ตอนแรกที่ได้รับข่าวของน้องชายรู้สึกอย่างไรบ้าง
▲ มีเบอร์โทรศัพท์ที่ไม่รู้จักโทรเข้ามา เป็นผู้หญิงโทรมาถามว่าเป็นพี่ชายของคุณควอนแดฮีใช่หรือไม่ ตอนนี้น้องชายอาการไม่ดี ถูกส่งตัวไปยังโรงพยาบาลมหาวิทยาลัยแล้ว ให้รีบมา พอผมสอบถามรายละเอียดเขาก็แจ้งว่าน้องชายผ่าตัดที่โรงพยาบาลศัลยกรรมเรียบร้อยแล้ว แต่ระหว่างพักฟื้นมีอาการไม่ดีจึงส่งตัวต่อ เขาบอกผมว่าไม่ต้องกังวล และไม่ได้พูดถึงเรื่องน้องชายว่าอยู่ในห้องฉุกเฉินด้วย
– ภาพของน้องชายที่เห็นตอนแรกเป็นอย่างไร
▲ ตอนที่ไปถึงน้องชายนอนไม่ได้สติ ทั่วทั้งตัวมีเลือดเปื้อน ใส่เครื่องช่วยหายใจอยู่ในห้องฉุกเฉิน ใบหน้าก็บวมอย่างมาก เนื่องจากไม่มีสติแล้วจึงไม่ได้พูดคุยอะไรกัน ทำได้แค่ลงทะเบียนผู้ปกครอง ยื่นบัตรประชาชนให้ แล้วจึงเข้าไปในห้องฉุกเฉินตอนนั้นวิสัญญีแพทย์ของโรงพยาบาลศัลยกรรมรออยู่ที่นั่นอยู่แล้ว เขาบอกว่าทำการผ่าตัดเสร็จเรียบร้อย แต่ระหว่างพักฟื้นคนไข้มีอาการความดันตก เพื่อความปลอดภัยจึงส่งตัวมายังโรงพยาบาลใหญ่ และบอกว่าไม่ต้องกังวล หากทำการรักษาแล้วน่าจะไม่มีปัญหาอะไร ผมก็เชื่อคำนั้นและรอต่อไป
แต่ทว่าคำกล่าวของแพทย์ห้องฉุกเฉินกลับต่างกัน เขากล่าวว่าตอนนี้น้องชายผมมีอาการแย่มาก ร่างกายขาดเลือด จะต้องทำให้อุณหภูมิร่างกายลดลงเพื่อชะลอระบบไหลเวียนโลหิต เพื่อป้องกันการเกิดความเสียหายต่อสมอง ให้ผมรีบเซ็นต์ยินยอมผ่าตัด การรักษาดังกล่าวกินเวลานานถึง 2-3 วัน ในตอนแรกอาการของน้องชายแย่มากผมจึงไมได้ติดต่อกับแม่ แต่เมื่อเวลาผ่านก็คิดว่าไม่สามารถปล่อยไว้อย่างนี้ต่อไปได้อีก ช่วงเวลาตี 5 ทั้งคุณแทฮุนที่ลางาน และ คุณแม่ ก็ได้เข้าดูอาการคุณแดฮีในห้องผู้ป่วยโคม่า
เมื่อมาย้อนดูข้อมูลที่โรงพยาบาลบันทึกไว้เปรียบเทียบกับช่วงเวลาที่โทรศัพท์แจ้งเข้ามา คุณแดฮีมีอาการหัวใจหยุดเต้นตั้งแต่ก่อนที่โทรศัพท์สายแรกจากโรงพยาบาลศัลยกรรมจะเข้ามา โดยทำการปั๊มหัวใจจนกลับมาเต้นได้อีกครั้ง เท่ากับว่าที่โรงพยาบาลศัลยกรรมแจ้งมานั้นเป็นเรื่องโกหกทั้งหมด
เหนือสิ่งอื่นใด สิ่งที่ไม่สามารถให้อภัยแก่โรงพยาบาลศัลยกรรมได้เลยก็คือ ทำไมถึงไม่โทรมาแจ้งก่อนที่น้องชายของเขาจะอาการแย่ที่สุด หรือขณะที่กำลังย้ายตัวไปยังห้องฉุกเฉิน อย่างน้อยเขาก็ยังจะมีโอกาสได้พูดกับน้องชายอีกเป็นครั้งสุดท้าย
– ความสัมพันธ์กับน้องชายเป็นอย่างไรบ้าง
▲ เนื่องจากมีอายุห่างกัน 5 ปีทำให้ไม่เคยทะเลาะกัน น้องชายเชื่อฟังผมเสมอ แล้วก็ชอบมาปรึกษาทั้งเรื่องทั่วไป เรื่องความรัก..
– ใช้เวลาสืบสวนนานกว่า 2 ปี
▲ โชคดีที่ผลลัพธ์ออกมาดี แต่ระหว่างช่วงที่รอคดีคืบหน้าก็มีความอึดอัดใจและเสียดายเช่นกัน จุดที่ไม่เข้าใจที่สุดคือ มีคนไข้เสียชีวิต แต่โรงพยาบาลㅈกลับไม่เดือดร้อน แถมยังเปิดให้บริการตามปกติ ทางผมก็ไม่สามารถเปิดเผยเรื่องอุบัติเหตุได้เพราะต้องระวังกฎหมายหมิ่นประมาททำให้เสียชื่อเสียง
ครอบครัวของผู้เสียชีวิตได้รับความลำบากอย่างมากตลอดเวลาที่ผ่านมา ทุกๆวันที่ได้รับข้อมูลมาก็ได้แต่คิดว่าจะทำอย่างไรจึงจะใช้เป็นหลักฐานยืนยันได้ จะทำอย่างไรให้เรื่องดังขึ้นมา แต่ในขณะเดียวกันทางโรงพยาบาลก็จ้างทนายมาดูแลจัดการ ทำให้ยังคงสามารถดำเนินกิจการได้ตามปกติ ในช่วงที่การสืบสวนยืดเวลาออกไป ทางตำรวจก็ได้มีการเรียกฝ่ายโรงพยาบาลㅈเข้ามาคุยแล้วกลับไป ซึ่งก็น่าสงสัยว่าเรื่องนี้มีความยุติธรรมหรือไม่
– ทำงานไปด้วยคงจะลำบากน่าดู
▲ ผมรู้สึกเหนื่อยมาก รู้สึกผิดที่ไม่สามารถทำอะไรได้เลย แม่ก็เคยออกไปประท้วงคนเดียว นำCCTVไปเปิดให้ดู ในขณะที่ผมก็ต้องไปทำงาน ได้แต่คิดว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่ อยากจะลาออกแต่พ่อแม่ก็ค้านไว้ รุ่นพี่รุ่นน้องในที่ทำงานก็ได้แต่บอกว่าให้ทำงานต่อไป เพราะต่อไปคงมีเรื่องให้ใช้เงินเยอะ หลังเลิกงานผมก็ปรึกษากับแม่เรื่องข้อมูลที่ได้มาว่าจะรายงานยังไง จริงๆแล้วตอนนี้ก็ยังคงไม่สบายใจที่ไม่ได้ช่วยเหลือแม่ตลอด
– ตำรวจทำการสืบสวนซ้ำ
▲ ผมผิดหวังในการสืบสวนมาก ถึงแม้จะมั่นใจว่าการตัดสินทางกฎหมายจะออกมาดี แต่ผลกลับออกมาไม่ได้ดีเท่าที่หวังไว้ ผมรู้สึกเหนื่อยล้ามากกับขั้นตอนระหว่างดำเนินคดี ยกตัวอย่างเช่น ถ้าเปรียบเทียบคดีของน้องชายผมกับการพิจารณาตัดสินคดีอาญาทั่วไป การสืบสวนและฟ้องร้องจะมีขั้นตอนต่างกัน เนื่องจากคดีน้องชายของผมมีความเกี่ยวข้องด้านการแพทย์ทำให้ต้องใช้เวลานานมาก
ระหว่างรอพิจารณาคดี ครอบครัวผู้เสียชีวิตทำได้แค่เข้าไปเช็คในเว็บไซต์ ซึ่งก็ขึ้นเพียงแค่สถานะ “กำลังสอบสวน” อยู่เป็นเวลานาน ทำให้รู้สึกเหมือนถูกละเลยจากหน่วยงานสอบสวน ถึงอย่างนั้นทางครอบครัวก็ยังคงรอคอย เนื่องจากคิดว่าอาจจะมีคดีอื่นๆที่สำคัญกว่าคดีของตัวเองก็เป็นได้ แต่ว่าการพิจารณาคดีก็ยังคงถูกเลื่อนออกไปอีกเรื่อยๆ โดยใช้ข้ออ้างต่างๆนานามาอ้าง ขอโทษที่ช้า และ ขอให้ทางครอบครัวรอต่อไป
ข่าวที่เกี่ยวข้องศัลยกรรมเกาหลี
>>สาววัย 27 กลายเป็นเจ้าหญิงนิทรา หลังศัลยกรรมจมูกที่โรงพยาบาลย่านซินซา
>>ทายาทนักธุรกิจฮ่องกง รุ่นที่ 3 เสียชีวิตระหว่างทำศัลยกรรมที่เกาหลี … ยื่นฟ้องร้องแพทย์
แน่นอนว่าคดีใหญ่ๆระดับประเทศก็ต้องสำคัญกว่า แต่ถ้ายังเป็นแบบนี้คดีของประชาชนใครจะเป็นคนรับผิดชอบ ทางหน่วยงานควรจะหาวิธีแก้ไขด้วยการรับคนมาเพิ่ม และ ทางครอบครัวก็คิดว่าระบบการทำงานแบบนี้มีข้อบกพร่อง และในที่สุดคดีก็ถูกตัดสิน แต่คดีที่ถูกยกฟ้องก็ยังคงความไม่ชัดเจน และ มีข้อผิดพลาดจำนวนมาก ทางครอบครัวรู้สึกไม่สบายใจที่ทางการเอาแต่จัดการคดีเกี่ยวกับการเมือง โดยไม่สนใจคดีทั่วไปของประชาชน
สนใจหาข้อมูลและปรึกษาศัลยกรรมได้ที่นี่