นพ.วิชัย เทียนถาวร อดีตปลัดกระทรวงสาธารณสุข ระบุว่า “กล้วย” เป็นพืชที่ขึ้นทั่วๆ ไปในเขตร้อน โดยเฉพาะในบ้านเราประเทศไทยมีความคุ้นเคยกันมาแต่โบร่ำโบราณ คนไทยสมัยก่อนปลูกเป็นไม้ประจำ “บ้าน” เลยทีเดียว มีแทบทุกบ้านช่อง เพื่อใช้ประโยชน์สารพัดที่ผู้เขียนคุ้นเคยมากๆ เมื่อ 50-60 ปีที่ผ่านมา ปู่ ย่า ตา ยาย คุณพ่อ คุณแม่สมัยก่อนจะนิยมใช้เป็นอาหารเลี้ยงทารก
โดยเฉพาะพออายุได้ 1 เดือน ผู้เฒ่าผู้แก่จะนิยมบดกล้วยเละๆ เรียกภาษาชาวบ้านว่า “กล้วยบด” แล้วป้อนให้ลูกหลานกินเป็นอาหารเสริมประจำวันนอกจาก “นมแม่” ว่าไปแล้วคุณแม่ของผู้เขียนเองก็เคยป้อนกล้วยบดให้กินเช่นเดียวกันนอกจากนมแม่
มีเหตุการณ์ประทับใจอันเกี่ยวเนื่องกับเรื่องกล้วยเมื่อประมาณปี2517 ขณะนั้นผู้เขียนเป็นแพทย์ประจำโรงพยาบาลสิงห์บุรีออกตรวจผู้ป่วยนอก(OPD) พบคุณแม่ทารกรายหนึ่งพาลูกชายอายุ 1 เดือนเศษไปโรงพยาบาลด้วยอาการท้องอืด อาเจียน กระสับกระส่าย ร้องไห้ไม่ยอมหยุด
หลังจากป้อนกล้วยได้ 1 ชั่วโมง ผู้เขียนได้ซักว่าก่อนหน้ามาโรงพยาบาลได้เลี้ยงลูกทารกอย่างไร อะไรบ้าง ได้ประวัติว่า คุณย่าบดกล้วยให้หลานกินจนอิ่ม หลังจากนั้น 3-4 ชั่วโมง มีอาการร้องไห้ไม่หยุด ท้องอืดขึ้นเรื่อยๆ จึงมาโรงพยาบาลสิงห์บุรี
ผู้เขียนได้ตรวจร่างกายพบว่าท้องอืดโป่งพอง เคาะท้องมีเสียงลมเต็มในช่องท้อง เด็กกระสับกระส่าย เคาะบริเวณท้องแถวรอบๆ สะดือมีเสียงคล้ายๆ มีลมในท้อง จึงได้ส่งเด็กไปเอกซเรย์ พบว่ามีลมแทรกอยู่ในช่องท้องใต้กระบังลม จึงได้วินิจฉัยว่าเด็กคนนี้กระเพาะแตกจากคุณย่าป้อนกล้วย จึงรีบนำไปผ่าตัดเปิดช่องท้องพบกล้วยน้ำว้าเต็มท้อง ได้เอาออกแล้วล้างช่องท้อง เย็บแผลกระเพาะติดกันเอาไว้ที่เดิม ผู้ป่วยรายนี้อยู่โรงพยาบาล 3-4 วัน มีอาการติดเชื้อ ไข้สูง จึงเสียชีวิต
นี่คือเหตุการณ์หนึ่งของคนรุ่นพ่อรุ่นแม่ ปู่ ย่า ตา ยาย 50 ปีเศษขึ้นไป นิยมการเลี้ยงลูกตามวัฒนธรรมประเพณีการเลี้ยงดูมาแต่โบราณ ด้วยความไม่รู้ รู้เท่าไม่ถึงการณ์ เข้าใจผิด ความระมัดระวังน้อย จึงเกิดอุบัติเหตุโดยไม่ได้ตั้งใจ ซึ่งเป็นข้อพึงสังวรของคนรุ่นใหม่