ที่มา: manager

เรียบเรียงข่าวโดย โดดเด่นดอทคอม

ภาพจาก ผู้จัดการ,newsplus

เกิดเรื่องสาวไส้กันอีกแล้ว ระหว่างดารา กับ ผู้จัดการส่วนตัว เมื่อผู้สื่อข่าว เว็บไซต์โดดเด่นดอทคอม ( www.dodeden.com ) รายงานว่าทางผู้จัดการออนไลน์ได้เสนอข่าว “เต้ย พงศกร เมตตาริกานนท์” พระเอกละครบางระจัน ช่อง 3 กำลังงานเข้า

เมื่อ “สุวิชชา แสนอวน” นักปั้นที่เคยมีผลงานปั้น อานัส ฬาพาณิช , ออย สิริมา , แอนนี่ บรู้ค ฯลฯ ออกมาให้สัมภาษณ์แบบหมดเปลือกว่า เป็นผู้ชักนำเต้ยเข้าวงการบันเทิงตั้งแต่ ม.6 ดูแลกันจนกระทั่งประกวด ดิไอดอลโปรเจ็กท์

เต้ย

กระทั่งได้เล่นละคร ตกลงหักเปอร์เซ็นต์ไว้งานละ 10 เปอร์เซ็นต์ วันนี้ผ่านไป 4 ปีได้เงินมาแค่ 2 หมื่นบาท แถมพอเจอหน้าพระเอกคนดังก็ทำเฉยเหมือนคนไม่เคยสนิทกัน ไม่แม้แต่จะโทรหา แม้แต่จะเอ่ยถึงว่าใครเป็นผู้ชักนำเข้าวงการก็ไม่เคย จวกคนเราต้องมีจิตสำนึกรู้จักบุญคุณกันบ้าง

“เจอกับเต้ยตอนปี 53 ตอนนั้นเต้ยมาประกวดโดมอนภาคอีสานเขาเรียนอยู่ชั้นม.6 ก็คุยกับคุณพ่อว่าจะเอาน้องมาทำงานด้วย

พอน้องเข้าปี 1 ก็มาเรียนที่ม.กรุงเทพ ก็เอาน้องมาฝึกพาไปถ่ายรูปโปร์ไฟร์และแคสติ้งงาน เห็นเขาครั้งแรกนี่คือใช่เลย เต้ยเขาได้หมดเลยและเขาก็ชอบวงการบันเทิงด้วย เขาชอบร้องเพลงชอบเต้น

558000001300302

ตอนแรกผมจะเอาเขาลงเดอะสตาร์เพราะเสียงเขาใช้ได้เลย แต่พอปี 54 มันมีประกวดดิไอดอลโปรเจ็กท์ก่อนก็เลยพาน้องไปประกวด ปีนั้นผมก็ส่งไป 3-4 คน ก็มีเต้ยเข้ารอบ 10 คนสุดท้ายไปและเข้าไปรอบชิง”

“ตอนนั้นเต้ยก็เซ็นต์สัญญากับเราแล้ว และในสัญญาก็มีการระบุไว้อย่างชัดเจน ถ้าเต้ยไปเซ็นต์สัญญากับบริษัทอื่นในระหว่างที่อยู่ในสัญญากับเรา หากงานนั้นยังไม่แล้วเสร็จก็ให้ถือว่าเป็นงานที่ต่อเนื่องกันแม้ว่าจะหมดสัญญาไปแล้ว

ซึ่งพอประกวดเสร็จเต้ยก็ต้องเซ็นสัญญากับบริษัทไว้ลาย ซึ่งกฏของการประกวดตอนนั้นคือเด็กจะต้องไม่มีสังกัดต้องไม่มีโมเดลลิ่ง หากมีสังกัดหรือโมเดลลิ่งจะผิดกติกา ซึ่งเราก็มีการตกลงกันนอกรอบกับทางคุณพ่อของเต้ยว่าผมจะไม่ออกตัวนะจะได้ไม่มีปัญหา และงานของเต้ยจะต้องถูกหัก 10 เปอร์เซ็นต์ตามที่เราได้เซ็นสัญญากันไว้”

“เขาเซ็นสัญญากับบ.ไว้ลาย 5 ปี พอเสร็จสัญญาเสร็จเขาก็ซีร็อกมาให้ผมเก็บไว้ 1 ชุด ก็ไม่ได้มีปัญหาว่าจะมายกเลิกสัญญา ซึ่งสัญญาของเรามันต่อเนื่องกับบ.ไว้ลาย เพราะเขาเซ็นสัญญากับบ.ไว้ลายขณะที่มาทำงานกับเรา เขาก็ต้องจ่ายให้เรา 10 เปอร์เซ็นต์จนกว่าจะหมดสัญากับไว้ลาย”

558000001300303

“พอเซ็นกับบ.ไว้ลายเขาก็มีไปถ่ายละครพันท้ายนรสิงห์ ภาพยนตร์ 1 เรื่อง และละคร 1 เรื่อง และก็มีไปออกงานอีเว้นต์ต่างๆ ผมก็ไม่ได้ไปตามอะไรเขาเพราะจะตามมากก็ไม่ได้มันผิดกฏ เพราะเขาไม่ให้มีโมเดลลิ่งทางบ.ไว้ลายเขาต้องดูแลตัวศิลปินเอง เราก็ออกตัวไม่ได้จะตามไปดูแลก็ทำอะไรไม่ได้ ก็จะไม่มีใครรู้ว่าเราเป็นผู้จัดการส่วนตัว แต่จริงๆ แล้วคนวงในรู้แต่คนรอบนอกจะไม่รู้ เพราะเราออกตัวไม่ได้”

“แต่ตั้งแต่เซ็นสัญญาผมเคยได้เงินจากคุณพ่อเต้ย 2 หมื่นบาท คือตอนประกวดดิไอดอลโปรเจ็กท์มา 1 หมื่น และตอนที่เต้ยเล่นละครอีก 1 หมื่นบาท นอกจากนั้นไม่เคยได้จากงานไหนอีกเลย พูดตรงๆ นะครับว่าผมไม่เคยติดตามทวงถามเขาเรื่องเงินเลย

558000001300305

 

เพราะการที่เราคุยกันว่า 10 เปอร์เซ็นต์ทุกงานมันแฟร์มันจบแล้ว ถ้าเขามีปัญหาเรื่องนี้เขาก็ต้องมาขอยกเลิกสัญญาตั้งแต่วันที่เขาได้ดิไอดอลโปรเจ็กท์แล้วสิ แต่นี่เขาไม่ได้มาบอกยกเลิกสัญญากับเรา ก็ยังมาคุยมาปรึกษาขอคำแนะนำตามปกติแต่ไม่เคยคุยเรื่องเงินเรื่องอะไรกัน”

558000001300304

“เขาก็ไม่เคยที่จะเอ่ยปากว่าวิชมีเงินใช้ไหมอะไรไหม ผมก็ไม่เคยพูดว่าพ่อเงินได้เมื่อไหร่ และผมก็ไม่เคยไปจี้ว่าน้องมีงานอะไรไปไหนบ้าง ได้เงินเท่าไหร่ ไม่เคยไปถาม ไม่เคยไปทวงจากน้อง

แต่เราก็รู้ว่าเขามีงานละครออกมาแบบนี้มันก็ต้องมีงานหลากหลายเข้ามา ตอนที่เล่นบักจ่อยเขาก็มีงานอีเว้นต์เข้ามาเยอะ คือถ้าเขาอยากจะให้เราเขาก็มีเบอร์เรา มีเบอร์บัญชีเรา เขาก็ต้องโอนมาสิ แต่เขาก็ไม่เคยโอน”

“ผมก็ไม่ได้ไปทวงถามเพราะผมมีความรู้สึกว่าไม่ได้อยากไปเกาะน้องกิน ไม่อยากไปสูบ เราไม่ได้ไปดูแลน้องเลยเพราะมันติดเรื่องเงื่อนไขของบ.ไว้ลาย แต่ถ้าพูดกันในเรื่องสัญญาพูดเรื่องการทำธุรกิจมันก็ต้องให้”

558000001300301

ดังแล้วหาย เจอหน้าก็ทำเหมือนคนไม่เคยสนิทกัน ไม่เหมือนสมัยก่อนที่พ่อกับแม่เต้ยมาฝากให้ดูแลเหมือนลูก

“หลังจากที่เขาเล่นละครผมเจอเขาครั้งเดียวตอนงานของดาราเดลี่ ผมพาน้องๆ ไปอวยพรวันเกิดดาราเดลี่ เขาก็ไปเจอผมที่นั่น เขาก็ไม่ได้คุยอะไรกับผม

เขาก็ยกมือไหว้และก็ถ่ายรูปและก็ไปเลย เขาก็ทักหวัดดีครับธรรมดา แล้วก็แบบไปแล้วครับๆ แล้วก็ขึ้นรถไปเลย เขาทำเหมือนดาราคนอื่นๆ ที่เจอแล้วก็ทักทายสวัสดีกันเหมือนไม่มีความผูกพันธ์กัน

ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้ก็สนิทกัน กินเที่ยวด้วยกันไปไหนก็ไปด้วยกันสนิทกัน อยู่กรุงเทพเวลาไปไหนมาไหนผมก็พาไปด้วย ไปแคสงานก็ไปกับผม เราพูดอีสานกันเลยครับ กับโตโน่ ภาคิณ ก็พูดอีสานกันครับ เขาปรึกษาผมทุกอย่างไลน์กันยังเป็นภาษาอีสานเลย”

“ผมขอเบอร์น้องกับพ่อ เขาก็ให้เบอร์คนดูแลคนดูแลอีกคนหนึ่งกลับมา ซึ่งเราก็มีความรู้สึกว่า เต้ยอยู่กับเราเขาก็เป็นน้องไปไหนมาไหนกินด้วยกันกับเรา อยู่ด้วยกันตลอด เที่ยวด้วยกันตลอด

อันนี้คือก่อนที่จะเล่นละครนะ แต่ทำไมตอนนี้ขอเบอร์ไม่ได้ ขนาดเราเป็นผู้จัดการดูแลน้องยังอยู่ตามสัญญาเขาก็ยังไม่ให้เบอร์เรา เราเลยรู้สึกว่ามันไม่แฟร์กับเรานะ เลยเราไม่ได้อะไรอย่างน้อยก็อยากโทรหาน้องบ้างเป็นไงบ้าง เหนื่อยบบ้างไหม”

“ผมไม่เข้าใจตรงที่ว่า โทรหาพ่อแล้วขอเบอร์น้องไม่ได้เลยมีความรู้สึกว่า แค่พ่อให้เบอร์น้องมา ให้ไลน์น้องมาก็จบแล้ว มันไม่จำเป็นต้องให้เบอร์คนที่ดูแล เหมือนกันๆ ไม่ให้เราเจอลูกคุณ อันนี้คือประเด็นนึงนะครับ ผมก็บอกพ่อไปว่า ไม่เป็นไรครับถ้าน้องไม่อยากคุยก็ไม่เป็นไร เขาก็ไลน์มาว่า เอ้า..เป็นอะไรล่ะ เขาคงเริ่มจะรู้สึกว่าแล้วล่ะว่าเราเริ่มจะไม่แฮบปี้ที่เขาไม่ให้เบอร์ลูกเขา”

“เรื่องที่พ่อไม่ให้เบอร์ พ่อไม่ให้น้องคุยกับเรา ไม่ให้ทักเรา มันก็ทำให้เรามีความรู้สึกนอยด์ เราอยากรู้ว่าทำไมเพราะอะไร ทำไมน้องถึงไม่โทรหาเรา บอกให้โทรหาเราน้องไม่โทรหาเราเป็นอะไร เพราะอะไร อยากจะรู้

 ไม่ใช่ว่าพอคุณดังแล้วคุณไม่รู้จักฉันมันไม่ใช่น่ะ คนที่มันดังก็เป็นเรื่องปกติธรรมดา ดังแล้วเจอกันก็ยังเหมือนเดิม อย่างโตโน่ดังแล้วก็ยังเหมือนเดิม เจอผมก็ยังคิดฮอดอ้าย ก็ยังเหมือนเดิม

ถึงจะไม่ค่อยเจอกันในไลน์ก็ยังเจอกัน ก็เป็นความผูกพันธ์กันแต่กับเต้ยนี่ไม่มีเลย เราก็อยากถามสารทุกข์สุขดิบบ้าง น้องเป็นไงบ้าง ทำงานเหนื่อยไหม ถ่ายละครเป็นไง ก็อยากจะถามน้อง ตั้งใจทำงานนะอย่าให้งานเขาเสียนะ

เพราะแต่ละอย่างที่เราสอนน้องก็คือสอนให้เขาทำงานในวงการบันเทิงในทางที่ดี เราก็สอนให้มีสัมมาคาราวะในการทำงานอ่อนน้อมถ่อมตน แต่เราก็แปลกใจมันไม่มีฟีดแบคกลับมาหาเรา”

เรื่องน่าสนใจ