เทิดทูนคนผิวขาว เหยียบย่ำคนผิวสี ย่ำยีคนบ้านนอก ดูถูกชาติเพื่อนบ้านว่าสุดเชย เพราะนี่คือเรื่องเล็ก แต่ลึกซึ้งระดับชาติ…ตรรกะความคิดของใครหลายคนวิบัติไปแล้วหรือไม่ ?
ไม่เว้นแม้แต่บุคคลมีชื่อเสียง ผู้เป็นหน้าตาเป็นตาในสังคม ก็ยังหนีไม่พ้นโดนเหยียดเชื้อชาติ เหยียดสีผิว หลายต่อหลายคนเยินยอคนผิวขาว แต่กลับดูหมิ่นคนผิวเข้ม มิหนำซ้ำยังมองข้ามความสามารถ รวมถึงเนื้อแท้ของบุคคลเหล่านี้ไปหมดสิ้น และเหตุการณ์ล่าสุด เมญ่า นนธวรรณ ทองเหล็ง มิสไทยแลนด์เวิลด์ 2014 นางงามมากความสามารถก็มิวายที่จะโดนชาวเน็ตจวกว่า เธอไม่เหมาะกับบทบาทนางเอก ละคร เพราะมีผิวคล้ำจนเกินไป หรือเรื่องใกล้ๆ ตัว ที่หลายคนมักนำเชื้อชาติมาดูหมิ่นผู้อื่นว่าล้าสมัย ก็มีให้เห็นอยู่บ่อยครั้ง
เมญ่า ตัวแสนสาวไทยผิวเข้ม ที่ถูกใจชาวต่างชาติ
สาวที่เป็นกระแสเรื่องผิวเข้ม และโดนวิจารณ์ค่อนข้างหนักอีกคน ก็คือ เมญ่า เมื่อได้พูดคุยกับเมญ่าถึงเรื่องที่เธอโดนติติงเรื่องสีผิว ซึ่งนางงามผิวสีน้ำผึ้งพูดอย่างอารมณ์ดีเช่นเคยว่า โดยปกติแล้วเมญ่ามักจะเข้าไปในโลกออนไลน์ เพื่อเข้าไปเช็กความเคลื่อนไหวหรือข่าวสารประจำวันตลอดอยู่แล้ว แต่แล้วก็ไปพบเจอความคิดเห็นของใครหลายๆ คนที่เข้ามาเหน็บแนมว่าตัวเองไม่เหมาะสมกับบทนางเอกละคร เพราะผิวดำจนเกินไป โดยยอมรับว่าตอนแรกที่เห็นก็ค่อนข้างเฟลเหมือนกัน เพิ่งทำงานหนักๆ มา กลับต้องมาเจอความคิดเห็นที่บั่นทอนจิตใจ แต่ในตอนหลังก็ไม่ได้เก็บมาคิด เก็บมาเครียดอะไร เพราะคนเรามีความชอบที่แตกต่างกัน ขณะเดียวกันก็ยังมีอีกหลายคอมเมนต์ที่เข้ามาให้กำลังใจ
“ในช่วงที่ไปเก็บตัวประกวดมิสเวิลด์ที่ลอนดอน เพื่อนๆ จากประเทศอื่นชอบสีผิวเรามาก ในหมู่นางงามด้วยกันเราป๊อปมาก มิหนำซ้ำผู้เข้าประกวดจากชาติอื่นๆ ยังทาผิวให้มีสีแทน โดยเพื่อนนางงามจากประเทศอื่น ยังมาช่วยกันลงเบสสีผิวให้ดูสีแทนๆ เพราะในมุมมองของชาติตะวันตก การที่ผู้หญิงมีผิวสีแทน จะดูเป็นสาวสุขภาพดี สวย ซึ่งหนูก็งงมากเลย เพราะถ้าเป็นเวทีบ้านเราก็คงจะทาผิวให้ดูขาวขึ้น นอกจากนี้เมญ่าก็มีโอกาสได้ปรับทุกข์พูดคุยกับเพื่อนจากชาติอื่นๆ ถึงเรื่องสีผิวว่า ตอนที่เมญ่าได้ตำแหน่งชนะเลิศ ซึ่งเป็นนางงามผิวสีคนแรกของประเทศ แต่ก็มีกระแสโจมตีจากสังคมถึงความไม่เหมาะสมต่อสีผิวของเมญ่าทันที ซึ่งเพื่อนที่เมญ่าปรึกษานั้น เป็นเพื่อนต่างชาติที่มีผิวค่อนข้างดำเข้มมากๆ และเขาก็แปลกใจ พร้อมขอดูภาพของคนที่ได้รางวัลในปีที่ผ่านมา เพราะสำหรับเมญ่า ถือว่าผิวขาวในหมู่พวกเขาแล้ว”
อย่าพิพากษาคนคล้ำ เหยียดย่ำบ้านเกิด…ใครจะทำไม อีสานเริด ก็เกิดได้!
ในส่วนที่มีผู้วิพากษ์วิจารณ์ดารา หรือนักแสดงบางคนว่า ผิวไม่เหมาะกับบทบาท หน้าตาไม่สมกับการเป็นนางเอกนั้น ทีมข่าวถามอย่างตรงไปตรงมากับ เจเน็ต เขียว (นงนุช สมบูรณ์) ว่า เคยเจอเหตุการณ์แบบนี้หรือไม่ เธอตอบในทันทีว่า
“น่าจะมีคนพูดถึงเธอแบบนี้ แต่ก็ไม่เคยได้ยิน เพราะไม่ได้มีใครมาติเตียนต่อหน้า หรือตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา บทบาทที่ได้รับมีความคล้ายคลึงกับบุคลิกเจเน็ตอยู่แล้ว คือ ตลก สนุกสนาน หากถามว่า เคยมีคนด่าเราโดยใช้คำว่า ลาว หรืออีสานหรือไม่ เราตอบได้เลยว่า เรารู้ตัวเราเองดีและภูมิใจเสมอว่า เราเป็นคนภาคอีสาน และก็มีคนอีสานเก่งๆ อีกมากมายที่เข้ามาผงาดในวงการนี้ได้อย่างภาคภูมิ และด้วยความที่เราเป็นคนปากจัด เพราะฉะนั้น เมื่อเจอกับคนที่เข้ามาดูถูก หรือเหยียดเราในลักษณะนี้ เราก็จะมีวิธีการโต้ตอบกลับไปว่า ขี้เหร่แต่มีผัวไว ดีกว่าสวยใสแต่ไร้สามี”
ดังนั้น ทุกคนควรเปิดใจให้บุคคลเหล่านี้ได้พิสูจน์ตัวเอง อย่าเพิ่งติเตียน คนเรามีเสน่ห์ มีข้อดีข้อเด่นอยู่ในตัวอยู่แล้ว สักแต่ว่าคนๆ นั้น จะสามารถดึงจุดเด่นตรงนี้ออกมาโชว์ได้หรือไม่ และโดยธรรมชาติของคนไทย จะไม่ค่อยเหยียดหยาม หรือด่าทอกันอย่างจริงจัง แต่จะมาในรูปแบบเหน็บเล็กๆ น้อยๆ เสียมากกว่า
นายวิรัช หวังปิติพาณิชย์ ทนายความชื่อดัง ได้ให้ข้อมูลเรื่องกฎหมายการเหยียดสีผิวในประเทศไทยว่า ปัจจุบันยังไม่มีกฎหมายที่ชัดเจน แต่เคยกำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2550 มาตรา 30 ระบุไว้ว่า “บุคคลย่อมเสมอกันในกฎหมายและได้รับความคุ้มครองตามกฎหมายเท่าเทียมกัน ชายและหญิงมีสิทธิเท่าเทียมกัน การเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรม ต่อบุคคล เพราะเหตุแห่งความแตกต่างในเรื่องถิ่นกำเนิด เชื้อชาติ ภาษา เพศ อายุ ความพิการ สภาพทางกายหรือสุขภาพ สถานะของบุคคล ฐานะทางเศรษฐกิจหรือสังคม ความเชื่อทางศาสนา การศึกษาอบรม หรือความคิดเห็นทางการเมืองอันไม่ขัดต่อบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญจะกระทำมิได้ มาตรการที่รัฐกำหนดขึ้นเพื่อขจัดอุปสรรคหรือส่งเสริมให้บุคคลสามารถใช้สิทธิและเสรีภาพได้เช่นเดียวกับบุคคลอื่น ย่อมไม่ถือเป็นการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรม ตามวรรคสาม” แต่ได้ถูกยกเลิกไปแล้ว ส่วนรัฐธรรมนูญชั่วคราวที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบันนั้น ไม่ได้เอ่ยถึงในเรื่องนี้
จากกรณีของเมญ่า ทนายวิรัช มองว่า ยังไม่ถึงขั้นหมิ่นประมาท ซึ่งอาจเป็นการติชมมากกว่า ในความเห็นส่วนตัวนั้น ประเทศไทยยังไม่ได้ถือว่าเป็นคำที่ดูถูกเหยียดหยามเกินไป ขณะที่ ในต่างประเทศ มองเรื่องเหยียดสีผิวเป็นเรื่องใหญ่ จากกรณีนักฟุตบอลไปพูดกับเพื่อนร่วมอาชีพเดียวกันว่า “ไอ้ดำ” จนเป็นเรื่องราวใหญ่โต ทำให้นักฟุตบอลคนนั้นโดนโทษแบนและมีคดีอาญา
นอกจากนี้ ทนายความชื่อดัง ยังให้ความเห็นว่า ควรจะมีกฎหมายนี้ในประเทศไทยและเชื่อมั่นว่าในอนาคตประเทศไทยจะมีการร่างกฎหมายเรื่องการเหยียดสีผิวขึ้นแน่นอน ถึงแม้ว่าวัฒนธรรมไทยยังไม่ถึงขั้นรังเกียจคนดำหรือต่างสัญชาติ ไม่เหมือนต่างประเทศ แต่ต่อไปเมื่อเปิดอาเซียนจะมีคนต่างชาติเข้ามาเยอะ ไม่ว่าอย่างไรก็ตามสมควรที่จะมีกฎหมายนี้.