4 พฤษภาคม ของทุกปี ถือเป็นวันแห่งสตาร์ วอร์ส จึงขอเฉลิมฉลองปีนี้ด้วยการขุดเอา 7 เรื่องจริงแสนสนุก ของมหากาพย์ภาพยนตร์อวกาศในตำนาน อย่างสตาร์ วอร์สที่เหล่าสาวกอาจไม่เคยรู้มาก่อน 7 เรื่องที่เกิดขึ้นจริงนี้ จะทำให้เหล่าสาวกอินไปกับสุดยอดภาพยนตร์ที่พวกเขาชื่นชอบมากยิ่งขึ้น
1.แฟรงค์ ออซ ผู้พากย์เสียงโยดาในเรื่อง สตาร์ วอร์ส เป็นคนเดียวกันกับผู้พากย์เสียง มิสพิกกี้ ในเรื่อง เดอะ มัพเพทส์ (The Muppets)
นอกจากพากย์เสียงและเชิดหุ่นในบทของปรมาจารย์โยดาแล้ว แฟรงค์ ออซ ยังควบทั้งสองหน้าที่นี้ให้กับ มิสพิกกี้ และคุกกี้ มอนสเตอร์ อีกด้วย
เขาได้การทุ่มเทให้กับบท โยดา มากยิ่งกว่าแค่พากย์เสียงและเชิดหุ่น เพราะเขายังมีส่วนในการสร้างสรรค์บุคลิกการพูดในสไตล์ “โยดิค” อันเป็นเอกลักษณ์ (ทั้งประธาน กริยา และกรรม)
2.เสียงหายใจแบบกระหืดกระหอบอันเป็นเอกลักษณ์ ของ ดาร์ธ เวเดอร์ ได้มาจากการใช้เครื่องช่วยหายใจใต้น้ำ
ดาร์ธ เวเดอร์ คือ ตัวละครเเรกที่ จอร์จ ลูคัส สร้างขึ้นให้กับ สตาร์ วอร์ส ส่วนอาภรณ์สุดล้ำของตัวละครนี้ออกแบบโดย ราล์ฟ แมคแควร์รี่ ศิลปินผู้ออกแบบ แม้ว่าจะไม่มีคำอธิบายใดๆ เลย ว่าทำไมดาร์ธ เวเดอร์ จึงสวมใส่ชุดสูทยาวๆ อยู่ตลอดเวลา
จนกระทั่ง สตาร์ วอร์ส ภาค 5 เอ็มไพร์ สไตรค์ แบ็ค สิ่งที่ แมคแควร์รี่ คำนึงถึงมากระหว่างการออกแบบชุดให้กับ ดาร์ธ เวเดอร์ คือ ทำอย่างไร ดาร์ธ เวเดอร์ จึงจะสามารถหายใจได้ระหว่างการเดินทางข้ามไปมา ระหว่างยานของเขา ไปยังยานของเจ้าหญิงเลอา โดยรูปแบบชุดของ ดาร์ธ เวเดอร์ นั้นออกแบบบนพื้นฐานของชุดคลุมนักรบเบดูอิน
เบน เบิร์ต สร้างเสียงหายใจของ ดาร์ธ เวเดอร์ ด้วยการเพิ่มไมโครโฟนเล็กๆ เข้าไปยังบริเวณริมฝีปากบนผ่านหน้ากากของเครื่องช่วยหายใจใต้น้ำ จากนั้นก็บันทึกเสียงหายใจผ่านเครื่องนี้ ให้ได้เสียงตามที่ตั้งใจไว้แต่แรกว่าเสียงหายใจของดาร์ธ เวเดอร์ นั้น ควรจะติดๆขัดๆ และแหบพร่า เสียงหายใจแบบนี้ ผู้ชมจะได้ยินใน สตาร์ วอร์ส ภาค 6: รีเทิร์น ออฟเดอะ เจได ตอนช่วงไคลแมกซ์ของการต่อสู้ที่ ลุค ปราบ เวเดอร์ ด้วยการประลองดาบไลท์เซเบอร์
3.สตาร์ วอร์ส ทุกภาคในสหรัฐอเมริกาจะฉายรอบปฐมทัศน์ในเดือนพฤษภาคม หลังวันเกิดจอร์ช ลูคัส เพียงหนึ่งสัปดาห์
ทเวนตี้ท์เซ็นจูรีฟ็อกซ์ เริ่มฉายมหากาพย์ภาพยนตร์เรื่องสตาร์ วอร์ส ภาคแรก เมื่อวันที่ 25 พฤษภาคม ปีพ.ศ. 2520 และกลายเป็นปรากฏการณ์ ป๊อป คัลเจอร์ที่เป็นกระแสนิยมไปทั่วโลก ตามด้วยการปล่อย สตาร์ วอร์ส อีกสอง ภาคออกฉาย ซึ่งสองภาคนี้มีระยะเวลาฉายห่างกันสามปี 16 ปี
ต่อมาหลังจากภาคสุดท้ายของไตรภาคแรก สตาร์ วอร์ส ไตรภาคใหม่ก็ได้นำออกฉาย โดยไตรภาคใหม่นี้ เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนไตรภาคแรก ซึ่งแต่ละภาคก็ยังเอกลักษณ์ของเวลาเข้าโรง ที่แต่ละภาคจะฉายห่างกันสามปี ภาคสุดท้ายของไตรภาคใหม่ เข้าฉายวันที่ 19 พฤษภาคม พ.ศ. 2548
4.จอห์น วิลเลียมส์ คว้ารางวัลออสการ์ จากผลงานเพลงประกอบภาพยนตร์เรื่อง สตาร์ วอร์ส ต่อมา สถาบันภาพยนตร์แห่งสหรัฐอเมริกา ได้ยกย่องให้เพลงประกอบภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นเพลงประกอบภาพยนตร์ที่ดีที่สุดตลอดกาล
ตลอดเวลาหลายปีแห่งความร่วมมืออันยาวนานระหว่างสปีลเบิร์ก และวิลเลียมส์ ทำให้ วิลเลียมส์ ได้รับรางวัลออสการ์เพิ่มอีกสองครั้ง จากการประพันธ์ดนตรีประกอบภาพยนต์เรื่อง อี.ที. เพื่อนรัก และชะตากรรมที่โลกไม่ลืม
ตลอดชีวิตการทำงาน วิลเลียมส์ ได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลออสการ์ทั้งหมด 46 ครั้ง ซึ่งถือเป็นบุคคลที่ยังมีชีวิตอยู่ ที่ได้รับการเสนอชื่อมากที่สุด นอกจากนั้นเค้ายังได้รับการติดต่อให้แต่งเพลงสำหรับใช้ในการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกอีกด้วย
5.ชิวแบคคา ได้รับแรงบันดาลใจมาจากน้องหมาแสนรักของ จอร์ช ลูคัส ที่มีชื่อว่า อินเดียน่า และน้องหมาของเขานี่เองที่ยังเป็นที่มาของชื่อพระเอกสุดดังอย่าง อินเดียน่า โจนส์
ชิวแบคคา หรือ ชิววี เป็นอีกหนึ่งตัวละครสมมติที่สร้างสีสันให้กับมหากาพย์สตาร์ วอร์ส ชิวแบคคา จัดอยู่ในอยู่ในสัตว์สายพันธุ์วูคกี้ สปีชีส์ คือเป็นสิ่งมีชีวิตที่มีรูปร่างสูง และมีขนดก เป็นสิ่งมีชีวิตพื้นเมืองจากดาวคาชีค ชิวแบคคาจงรักภักดีต่อฮันโซโลอย่างมาก และทำหน้าที่เป็นนักบินร่วมแห่งยานมิลเลนเนียมฟอลคอน ชิวแบคคา ถูกสร้างขึ้นโดย ปีเตอร์ เมย์ฮิว นักแสดงในภาพยนตร์เรื่องสตาร์ วอร์ส และตัวละครนี้ยังได้ปรากฏทั้งในจอโทรทัศน์ หนังสือการ์ตูน และวิดีโอเกมด้วย
6.โฉมหน้าของยานมิลเลนเนียม ฟอลคอน ได้รับแรงบันดาลใจจากแฮมเบอร์เกอร์ที่มีลูกมะกอกเสียบอยู่ด้านข้าง มิลเลนเนียม ฟอลคอน เป็นยานอวกาศในจักรวาลสตาร์ วอร์ส ควบคุมยานโดยพ่อค้าของเถื่อน ฮันโซโล (แฮร์ริสัน ฟอร์ด) และ เพื่อนวูคกี้ คนแรกของเขา ที่ชื่อ ชิวแบคคา (ปีเตอร์ เมย์ฮิว)
จอร์จ ลูคัส ผู้สร้างสตาร์ วอร์ส ได้ออกแบบยานมิลเลนเนียม ฟอลคอน โดยได้รับแรงบันดาลใจ จากชิ้นแฮมเบอร์เกอร์ ทั้งส่วนห้องนักบินได้มาจากผลมะกอกที่ประกบอยู่ด้านข้าง แรกเริ่มนั้น ตัวยานมีลักษณะที่ยาวกว่า
แต่ยานที่ออกแบบล่าสุดนี้มีความคล้ายคลึงกับยานขนส่งเหยี่ยวเวหา (Eagle Transporters) ในเรื่อง สเปส (พ.ศ. 2542) ลูคัสจึงปรับเปลี่ยนรูปแบบงานออกแบบของยานฟาลคอน ทันที ต้นแบบเดิมนั้นถูกปรับขนาดใหม่ และใช้เป็นยานแทนท์ทีฟ 4 (Tanttive IV) ของเจ้าหญิงเลอา
7.การเชิด แจบบา เดอะ ฮัทท์ ต้องใช้กำลังคนเชิดมากถึง 10 คน
แจบบา เดอะ ฮัทท์ เป็นอีกหนึ่งบทบาทของตัวละครที่ปรากฏอยู่ใน สตาร์ วอร์ส มหากาพย์ภาพยนตร์อวกาศ ภาพของแจบบา คือสัตว์ประหลาดทากขนาดยักษ์ นักวิจารณ์ภาพยนตร์ โรเจอร์ อีเบิร์ต ได้อธิบายเพิ่มเติมเกี่ยวกับตัวละครนี้ ว่าเป็นการข้ามสายพันธุ์ระหว่างคางคก และแมวเชสเชียร์
แจบบา เป็นผลงานการสร้างสรรค์ ของ ฟิล ทิปเป็ตต์ ศิลปินผู้สร้างสรรค์เทคนิคพิเศษ โดยได้แรงบันดาลใจจากกายวิภาคของสัตว์หลากหลายสปีชีส์ โครงสร้างและการเจริญพันธุ์ ของแจบบา คือหนอนปล้อง สัตว์ไร้ขน ไร้กระดูก และมีสองเพศ ส่วนศรีษะของแจบบา
ที่เหมือนกระเปาะ กลมมน ถูกสร้างหลังจากนั้นด้วยส่วนร่างกายที่เลื้อยเหมือนงู รูม่านตาที่เป็นเส้นกรีดขวางแนวนอน ปากที่เปิดกว้างมากพอที่จะสามารถกลืนกินเหยื่อที่มีขนาดใหญ่ได้อย่างสบายๆ ผิวหนังมีความชุ่มชื้น ที่เป็นคุณสมบัติของสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำ แจบบาถูกสร้างเป็นต้นแบบ ของสมาชิกกลุ่ม เดอะ ฮัทท์ ในภาคต่อๆ มาของ สตาร์ วอร์ส
ในภาค “การกลับมาของเจได” ยังปราภฏภาพของแจบบา ตัวละครน้ำหนักร่วมหนึ่งตัน ที่ใช้เวลาสร้างนานสามเดือนครึ่ง และทุนสร้างกว่าครึ่งล้านดอลลาร์ ระหว่างถ่ายทำภาพยนตร์เรื่องนี้ แจบบา มีช่างแต่งหน้าส่วนตัว ทั้งยังต้องใช้กำลังคนเชิดมากถึง 10 คน ถือเป็นตัวละครที่ใช้เงินลงทุนมากที่สุดตัวหนึ่งเมื่อเทียบกับตัวละครอื่นๆ ที่เคยใช้ในการสร้างภาพยนตร์
แจบบา เดอะ ฮัทท์
ขอพลังจงสถิตแก่ท่าน!