หากเรียงรายชื่อประเทศที่หวังว่าต้องไปเยือนสักครั้งในชีวิต คงต้องยอมรับว่า “กาตาร์” ไม่ใช่ประเทศแรกที่เราคิดถึง เพราะถึงกาตาร์จะได้ชื่อว่าเป็นประเทศร่ำรวย รั้งตำแหน่ง “เศรษฐีน้ำมัน” ระดับโลก แต่ด้วยความเป็นประเทศที่ตั้งอยู่บนดินแดนตะวันออกกลาง อันเป็นกลุ่มประเทศที่ใช้กฎหมายอิสลาม ซึ่งมีข้อจำกัดหลายอย่างที่ต้องอย่างทำการบ้านอย่างละเอียด ไม่เช่นนั้นอาจเกิดปัญหาขณะเดินเที่ยวได้ ประกอบกับการเป็นประเทศทะเลทรายที่มีอากาศร้อนชนิดประเทศไทยยังอาย
ทว่าความคิดข้างต้นกลับถูกทำลายลงอย่างสิ้นเชิงหลังจากมีโอกาสได้เดินทางไปยังกาตาร์พร้อมกับ “เชลล์” เพื่อร่วมชมการแข่งขัน “โมโตจีพี” และ “เอเชียนทาเลนท์คัพ” เพราะความเข้มเคร่งทางกฏหมายที่ได้เจอในกาตาร์ ไม่ได้เคร่งเครียดอย่างที่คิด แถมฟ้ายังใสทะเลสวยเปี่ยมเสน่ห์อีกต่างหาก แม้ว่าอากาศจะร้อนเกิดไปสักหน่อยก็ตาม
อีกทั้งคนตลอดสองข้างทางก็ “เฟรนด์ลี่” ไม่ตีหน้าบึ้งตึงเข้าใส่นักท่องเที่ยวที่ตีหน้ามึนถามทางเลยสักนิดเดียว
สาเหตุที่จำเป็นต้องตีหน้ามึนเข้าไปถามทางเกิดจากความอยากเที่ยวในโดฮา(เมืองหลวงของกาตาร์) สักครั้ง จึงหาจังหวะหายตัวออกจากสนามแข่งขันโลเซล อินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต ซึ่งอยู่ห่างจากตัวเมืองไปประมาณ 26.5 กิโลเมตร จับกลุ่มกับเพื่อนร่วมทริปอีก 2 คน กระโดดขึ้นรถแท็กซี่ให้พาไปส่งย่านกลางเมืองที่เต็มไปด้วยตึกทรงสูง รูปร่างแปลกตาตั้งเรียงรายไปจนสุดถนน
ข้อมูลน่าสนใจที่ได้พูดคุยกับแท็กซี่คือ ราคาค่าน้ำมันของกาตาร์ ตกอยู่ที่ 1 รียัลกาตาร์ (ประมาณ 8 บาท) ต่อลิตร ตรงกันข้ามกับน้ำดื่มที่แพงกว่า 2 เท่าตัว แต่ถึงราคาน้ำมันถูกก็ไม่ได้หมายความว่าค่ารถโดยสารจะถูกตามไปด้วย แม้การเดินทางด้วยรถแท็กซี่ที่นี่เริ่มต้นที่ 10 รียัลกาตาร์ (ประมาณ 80 บาท) แต่พอเอาเข้าจริงแล้วเฉลี่ยการเดินทางประมาณครึ่งชั่วโมงจะตกอยู่ที่ 30-40 รียัลกาตาร์ (ประมาณ 240-320 บาท)
สำหรับเป้าหมายแรกของทริปเร่งรัดนี้คือ “พิพิธภัณฑ์ศิลปะอิสลาม” ที่ตั้งตัวเองยื่นออกไปบนทะเล ล้อมรอบด้วยสวนสาธารณะไซซ์ใหญ่ ได้ทำให้วิวและบรรยากาศอยู่ในระดับที่สวยจนน่าใจหาย ประกอบกับการเปิดให้บุคคลทั่วไป ไม่เว้นแม้แต่นักท่องเที่ยวสามารถเข้าเยี่ยมชมฟรี ก็ยิ่งทำให้ประทับใจกาตาร์ยิ่งกว่าเดิมถึง 2 เท่าทีเดียว
ภายในพิพิธภัณฑ์ศิลปะอิสลามจะประกอบไปด้วย โบราณวัตถุจากหลากหลายประเทศในวัฒนธรรมอิสลาม มีทั้งข้าวของเครื่องใช้ในชีวิตประจำวัน อาทิ เชิงเทียน, อ่างน้ำ, เสื้อผ้า ฯลฯ ไปจนถึงอาวุธยุทโธปกรณ์ในการรบ จัดวางเอาไว้อย่างมีระเบียบและแบ่งสัดส่วนชัดเจน
หลังจากตระเวนดูวัตถุโบราณจากวัฒนธรรมอิสลามจนครบหมดทุกชั้นแล้ว แนะนำให้ลองเดินต่อไปยัง “ซุควากิฟ” หรือ “ตลาดวากิฟ” ซึ่งอยู่ห่างจากพิพิธภัณฑ์ศิลปะอิสลามไม่มากนัก สามารถเดินไปได้ในระดับที่ไม่เหนื่อยสักเท่าไรนัก
เพียงแต่ต้องระวัง เรื่องการเดินเหินบนท้องถนนสักหน่อยเพราะรถส่วนใหญ่มักขับขี่กันด้วยความ เร็วสูงมากแม้เกือบทุกคันจะพร้อมใจกันหยุดอย่างพร้อมเพรียงเมื่อเจอสัญญาณไฟ แดง แต่ด้วยระดับความเร็วที่เหยียบกันไม่บันยะบันยังขนาดนั้น เราขอเตือนให้ข้ามถนนเฉพาะตอนที่ถนนโล่งจริง ๆ เท่านั้นจะดีกว่า
หากเป็นคนที่เคยเล่นเกม “Assassin”s Creed” เชื่อว่าน่าจะอินกับการเดินเล่นในซุควากิฟอย่างแน่นอน เพราะบรรยากาศรอบด้านทั้งตึกรามบ้านช่องและถนนหนทาง เรียกได้ว่าเกือบจะถอดแบบกันมาทั้งหมด จนเกือบจะกระโจนขึ้นไปปีนหลังคามองวิวแบบตัวละครในเกมเลยทีเดียว
ส่วนความรู้สึกที่มีต่อลักษณะการค้าขายคงต้องบอกว่าใกล้เคียงกับตลาดพาหุรัดผสมจตุจักรพอสมควรเพราะช่วงที่เดินทางไปถึงเป็นเวลากลางวัน ทำให้มีสินค้าส่วนใหญ่ถ้าไม่ใช่เสื้อผ้าก็เป็นของใช้ในครัวเรือน ขณะที่สินค้าอย่างอื่นจะมีกระจายประปรายออกไปไม่มากนัก ซึ่งถ้าเดินลึกเข้าไปด้านในจะพบว่ามีตลาดสัตว์เลี้ยงที่ส่วนใหญ่มีแต่นกให้เลือกชม
แต่ความน่าสนใจในซุควากิฟ หรืออาจรวมถึงตลาดที่อื่นในกาตาร์ คือ “พนักงานขนของ” ที่สวมเสื้อกั๊กติดหมายเลขคล้ายวินมอเตอร์ไซค์ไทย แต่พาหนะของพวกเขาเป็นรถเข็นล้อเดียว สำหรับให้บริการขนของคนที่เข้ามาซื้อสินค้าแบบติดตามระยะประชิด
แนะนำว่าถ้าอยากเดินเล่นซุควากิฟให้ได้บรรยากาศช็อปของฝากชิลๆซึ่งคนขับแท็กซี่แนะนำว่า “อินทผลัม” เป็นสินค้าขึ้นชื่อของกาตาร์ ควรไปในช่วงแดดร่มลมตกจะเป็นการดีกว่า เพราะบรรดาร้านรวงริมทางจะเปิดขายมากกว่าตอนกลางวัน แต่ถ้าอยากไปถ่ายรูปมาโชว์กันขอบอกช่วงกลางวันฟ้าจะใสไร้เมฆแบบสุด ๆ