Mario เล่าเรื่องราวความสัมพันธ์ของสองนักฟุตบอลหนุ่ม ฝ่ายนึงคือ Mario นักเตะดาวรุ่งของทีม อีกฝ่ายคือ Leon นักเตะหน้าใหม่ที่ถูกซื้อตัวมาจากเยอรมัน จากท่าทีเฉยเมยและออกจะเขม่นกันในตอนต้น พวกเค้าก็ค่อยๆ เปิดใจให้กันและกัน โดยเฉพาะเมื่อถูกโค้ชจับให้เล่นเป็นตัวบุกคู่กัน และจับให้ทั้งคู่มาอยู่อพาร์ตเมนต์เดียวกันเพื่อให้สนิทสนมกันมากขึ้น โดยไม่รู้เลยว่า พวกเค้าจะสนิทกันจนเลยเถิด! ก่อนจะกลายเป็นเรื่องลุกลามใหญ่โต เพราะอย่างที่รู้กันดีว่าแวดวงฟุตบอลกับความเป็นเกย์นั้นเป็นของแสลง แล้วความสัมพันธ์ของพวกเค้าทั้งคู่จะเป็นเช่นไร ในเมื่อทั้งคู่ต่างก็แน่ใจว่า มันไม่ใช่แค่เซ็กส์สนุกๆ ชั่วครั้งชั่วคราว
ในเรื่องราวแสนเชยและประเด็นที่ดูเหมือนซ้ำซากจำเจ อย่างการตกหลุมรักกันของผู้ชายสองคน ความกลัว-ความกล้าในการเปิดตัว-ยอมรับตัวเอง มันก็มีอะไรที่ดูน่าค้นหา น่าพูดถึง และมีอะไรติดค้างอยู่ในใจเราไปอีกนาน โดยเฉพาะฉากจบที่ถึงกับทำให้เราซี๊ดปากด้วยอารมณ์ที่หลากหลายท่วมท้น
ชอบฉากการแก้ปัญหาของทีมฟุตบอลและที่ปรึกษาส่วนตัวของสองนักเตะหนุ่มมาก มันทำให้หนังดูสมจริงสมจัง และมองเห็นระดับความเข้มข้นของปัญหา ไปจนถึงความเป็นโลกมายาของวงการฟุตบอลที่ใกล้เคียงกับวงการบันเทิงมาก เช่นเดียวกัน ชอบฉากการปะทะกันของพ่อและแม่ของ Mario มาก ไม่ใช่แค่ฉากสำคัญของหนัง แต่ฉากเล็กๆ ที่แม่ยืนกรานปฏิเสธที่จะถ่ายรูปครอบครัวนั่นก็เป็นอะไรเล็กๆ ที่เจ๋งมาก
ในจังหวะการเล่าเรื่องแบบเรื่อยๆ ค่อยๆ เล่า ค่อยๆ ให้ตัวละครขับเคลื่อนตัวเองไปด้วยความรู้สึก โดยทิ้งจังหวะให้เราได้เห็นกิจวัตรประจำวันของตัวละครต่างๆ ทำให้เราแอบคิดเหมือนกันว่า เพราะมันไม่มีอะไรจะเล่าหรือเปล่า ก็พล็อตหลักมันก็มีอยู่แค่นี้ และจุดมาร์กบังคับมันก็ต้องเป็นแบบนี้ เด็กหนุ่มค่อยๆ สนิทสนมกัน มีความกล้าๆ กลัวๆ แสดงออกด้วยการหมางเมิน ก่อนจะเปิดใจรับสัมพันธ์แนบแน่น มีเหตุการณ์ที่ทำให้ต้องวัดใจวัดความสัมพันธ์กันอีกครั้งด้วยเรื่องสังคม – รักต้องห้าม ซึ่งมันเป็นอะไรที่แสนจะสูตรสำเร็จ และเล่าเป็นหนังให้จบได้ในเวลาไม่ถึงชั่วโมงด้วยซ้ำ … ทว่าพอหนังเลือกเล่าช่วงครึ่งหลังด้วยจังหวะแบบเดิม เราก็ค้นพบว่า มันคือสิ่งที่ผู้กำกับตั้งใจให้เราได้เห็น ได้สัมผัสรับรู้ถึงความรู้สึกของตัวละครโดยไม่ต้องเอื้อนเอ่ย ไม่ต้องฟูมฟายใหญ่โต แต่มันโคตรจะจริง ในการใช้ชีวิตที่ดูเหมือนจะปกติธรรมดาสามัญ แต่ละวันที่ผ่านพ้นไป เรามีเรื่องอะไรให้ทำมากมาย แต่ลึกๆ แล้วเรารู้ดีว่า อะไรบางอย่างในตัวเรามันแหว่งโหว่ ขาดหาย และไม่อาจเป็นเหมือนเดิมได้อีกแล้ว แล้วนั่นก็ทำให้เรานั่งลุ้นจนตัวโก่งว่า Mario กับ Leon จะลงเอยเช่นไรในตอนท้าย
Mario เข้าฉายแล้ววันนี้ที่ House RCA / Scala และ Bangkok Screening Room
ขอบคุณเนื้อหาจาก ชีวิตผมก็เหมือนหนัง
ชีวิตผมก็เหมือนหนัง นามปากกาของนักเขียนบทวิจารณ์ภาพยนตร์ ละครเวที และเพลง เจ้าของแฟนเพจ “ชีวิตผมก็เหมือนหนัง” ที่ยังคงเขียนบทวิจารณ์ไปเรื่อยๆ ตราบใดที่ยังเสพงานศิลปะในรูปแบบต่างๆ อยู่เสมอ ติดตามผลงานอื่นๆ ของเขาได้ที่ www.facebook.com/LifeLikeMovies