Open Mind“ความงาม = คุณภาพชีวิต”ด้วยศาสตร์และศิลป์แห่งการชะลอวัย

dr.sataporn

ในท่ามกลางกระแสการแข่งขันอันเชี่ยวกรากของวิทยาการด้านความงามและ เทคโนโลยีเพื่อการชะลอวัยที่พัฒนาไปอย่างรุดหน้าเพื่อแข่งขันทายท้ากฎเหล็ก แห่งกาลเวลา จนกระทั่งมีทางเลือกและความรู้ใหม่ๆ เกิดขึ้นมากมายให้เราต้องรู้จัก ทำความเข้าใจ และก้าวให้ทัน ก่อนจะตัดสินใจเลือกให้ถูกต้อง เพื่อทำสวยได้ถูกใจ ได้ลุคอ่อนเยาว์กว่าวัยสมดังใจปรารถนานั้น…บางทีจุดตัดสำคัญอาจอยู่ที่ความสมดุลของ องค์ประกอบหลัก นั่นคือ “ศาสตร์” และ “ศิลป์” ที่หากขาดสิ่งหนึ่งสิ่งใดไป…ความสาวและสวยที่หวังอาจไม่ได้ดั่งใจ

Open Mind ครั้งนี้ มีโอกาสได้พบปะและสนทนากับอีกหนึ่งนายแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านเวชศาสตร์ความงาม ที่คนไข้ของเขายินดีขนานนามให้ว่าเป็น “คุณหมอผู้มีมุมมองและฝีมือทางศิลป์” ขั้นเทพอีกท่านหนึ่งในยุทธจักร…นายแพทย์สถาพร จินารัตน์ แห่ง Renovia Clinic ลองติดตามอ่านให้จบ แล้วค่อยชั่งใจว่าคุณเห็นด้วยไหมกับ “จุดตัดสำคัญ” ในเวชศาสตร์ความงามที่เราเอ่ยถึง

 

ผู้หญิง : เท่าที่ทราบ คุณหมอเคยเป็นสูติ-นรีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ แล้วอย่างไรจึงเปลี่ยนมาเป็นแพทย์ผู้ทำงานเรื่องของเวชศาสตร์ความงามคะ

นพ.สถาพร : คือ มันก็เริ่มมาจากการที่ผมมองว่าสูติ-นรีเวชศาสตร์ และเวชศาสตร์ความงามแท้ที่จริงก็เป็นเรื่องเดียวกัน ในวิชาสูติฯ นั้น เราดูแลเรื่องการให้กำเนิดคน แล้วเราก็พบว่าคนเราอายุยืนขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งเมื่ออายุยืนขึ้น เราก็ต้องมี คุณภาพชีวิตที่ดีด้วย ไม่ใช่ว่าพอเกษียณอายุปั๊บ ก็รอความตายอย่างเดียว เราควรจะมีชีวิตอยู่อย่าง มีความสุขในทุกมิติของชีวิตด้วย ตั้งแต่ร่างกาย จิตใจ สติปัญญา อารมณ์ และการปรับตัวเข้ากับสังคมสิ่งแวดล้อม ผมจึงมาศึกษาเรื่อง spa ซึ่งย้อนไปในเวลานั้น ผมได้ไปดูงานที่สถาบันของ Dr. Ana Aslan ที่โรมาเนีย (แพทย์และนักชีววิทยาหญิงชาวโรมาเนียผู้ล่วงลับ ซึ่งโด่งดังในฐานะผู้บุกเบิกการศึกษาค้นคว้าวิจัยในเรื่องศาสตร์แห่งการชะลอ วัยจนกระทั่งกลายเป็นเจ้าแม่ของวงการ และได้รับการยอมรับในระดับสากล ถึงขั้นที่ในปี 1952 องค์การอนามัยโลกให้การยอมรับว่าเธอเป็นผู้ก่อตั้งวิชาชะลอวัย [Gerontology & Geriatrics])

ในขณะเดียวกัน ผมทำงานเป็นแพทย์ด้านสูติ-นรีเวชและผู้มีบุตรยากมาเกือบ 20 ปีที่โรงพยาบาลเซนต์หลุยส์ และได้มีโอกาสพัฒนาความรู้ด้านการชะลอความชรา ที่ปัจจุบันเรียก Anti-aging หรือเวชศาสตร์อายุรวัฒน์ จนกระทั่งเปิด Saint Louise Medical Spa ให้โรงพยาบาลเซนต์หลุยส์ จากนั้นเมื่ออายุมากขึ้น ก็เปลี่ยนมาทำงานด้านบริหารโรงพยาบาล โดยย้ายมาเป็นรองประธานบริหารที่โรงพยาบาลปิยะเวท และควบคุมดูแล การสร้าง “ตรัยยา (Tria)” ซึ่งเป็นสปาในคอนเซ็พท์แบบ rejuvenation พอทำเสร็จไปได้ประมาณ 4 ปีกว่า ก็มีการเปลี่ยน การบริหาร ประจวบเหมาะกับเพื่อนชาวสิงคโปร์ของผมเขาเปิด True Fitness และอยากจะทำสปา ก็เลยเชิญผมไปให้ คำแนะนำและออกแบบสปาให้เป็น True Spa เขาเห็นผมเป็นหมอเลยบอกว่า “ยูเป็นหมอเนี่ย ยูทำ aesthetic clinic (คลินิกด้านเวชศาสตร์ความงาม) ให้เราด้วยสิ” ตอนนั้นผมกำลังทำวิจัยเรื่องการชะลอความแก่ และได้ศึกษาเรื่องนี้มาอย่างต่อเนื่อง ก็เลยได้ช่วยเขาเปิดคลินิกเป็น Tru’Est Clinic ให้กับ True Fitness ในที่สุด

ผู้หญิง : ดูเหมือนเวชศาสตร์ความงามนี้จะเป็นวิทยาศาสตร์แขนงใหม่เลยนะคะ

นพ.สถาพร : ใช่ ครับ และคนที่สอนเรื่องเวชศาสตร์ความงามนี้ก็ยังไม่มีเป็นกิจลักษณะเท่าไหร่ เพราะว่าเป็นศาสตร์ สมัยใหม่มาก ยิ่งพวกเลเซอร์นี่ใหม่มากทีเดียว เราเพิ่งนำเลเซอร์มาใช้ทางการแพทย์ และต่อมาทางความงามเมื่อไม่นานนี้เอง ก็เลยคิดว่าเราน่าจะมีส่วนในการพัฒนาเทคโนโลยีและศาสตร์อันนี้ ซึ่งผมก็ได้ช่วยบริษัทเครื่องมือทำเลเซอร์ พัฒนาเครื่องมืออยู่หลายเจ้า ในช่วงเวลาเดียวกันนั้น ผมได้ศึกษาค้นคว้าจากงานเขียนงานวิจัยของหมอคนอื่นๆ ทั่วโลกก็พบว่าในปี 2006 มีแพทย์ชาวเกาหลีคนหนึ่งตีพิมพ์คอนเซ็พท์ของการเกิดฝ้าในแถบคนเอเซีย ว่ามีปัญหาจากการที่มี เส้นเลือดฝอยแตก แล้วมันปล่อยสารตัวหนึ่งที่เรียกว่า Vascular Endothelial Growth Factor ที่ไปกระตุ้นให้เซลล์ เมลาโนไซต์ หรือเซลล์สร้างเม็ดสี เกิดการสร้างเม็ดสีมากขึ้นเรื่อยๆ ผมเองก็คิดเรื่องนี้อยู่เหมือนกันในช่วงนั้น เพราะความที่ผมทำงานวิจัยเป็นหลัก และพัฒนาเทคนิคการทำเลเซอร์ขึ้นมาเรื่อยๆ ผมเองก็พบว่า เลเซอร์ที่ยิงแบบ Hard Laser ยิงแล้วไหม้นั้นจะไม่ตอบสนองกับผิวของคนเอเชีย ซึ่งอยู่ในแถบที่มี UV สูง และเป็น skin type 4 5 6 ในขณะที่เลเซอร์ประเภทนี้ถูกสร้างโดยพวกฝรั่งที่มี skin type 1 2 ที่ผิวขาวๆ เพราะฉะนั้น เมลานีนชนิดที่เรามี ที่ดูดสีเป็นสีดำ สีน้ำตาลเข้มเนี่ย มันดูดแสงพวกนี้มาก ก็จะไหม้มาก ทำให้เกิดอันตรายต่อผิว ทำให้เกิดรอยดำบ้าง หรือถ้าขั้นรุนแรงก็จะกลายเป็นด่างขาว ซึ่งเมื่อเป็นแล้วรักษายากมากถึงขั้นรักษาไม่หาย จากจุดนั้นเองเราก็เลยพัฒนาการทำ Soft Laser ขึ้นมา

ผู้หญิง : ลักษณะแบบนี้จะเป็นเฉพาะในคนเอเชียเท่านั้นหรือเปล่าคะ

นพ.สถาพร : ถ้า จำไม่ผิด งานวิจัยระบุว่า 80% ของผู้ที่เป็นฝ้ามีปัจจัยพวกนี้อยู่ค่อนข้างเยอะ ซึ่งทำให้สมัยก่อนที่เราคิดกันว่าฝ้ารักษาไม่หาย เดี๋ยวก็ขึ้นมาอีก แต่สำหรับคอนเซ็พท์ใหม่นี้ เขาเปลี่ยนเทคโนโลยีและวิธีการรักษาฝ้า ทำให้เรารู้ว่าฝ้าสามารถหายได้ถ้าเราคุมพวก Vascular Endothelial Growth Factor ได้ ซึ่งวิธีการคุมก็คือเปลี่ยนมาใช้ Soft Laser ซึ่งเป็นพลังงานเลเซอร์ที่มีขนาดต่ำลง โดยปกติที่เขาใช้ พลังงานจะอยู่ที่ประมาณ 75-150 กิโลวัตต์ ยิงๆ ไป มันก็ค่อนข้างร้อนมาก เขาก็ทอนพลังงานลงมาเหลือ 3 กิโลวัตต์ แต่ยิงเร็วเหมือนปืนกล M16 ทีละ 22,000 นัด/วินาที ก็ทำให้แสงเลเซอร์ทะลุลงไปได้ลึกขึ้นในขณะที่ความร้อนน้อยลง อวัยวะหรือเซลล์ที่อยู่รอบข้างก็ไม่ถูกทำลาย ผมจึงคิดว่านี่แหละคือคำตอบ และบอกบริษัทเครื่องมือแพทย์ในเมืองไทยว่าให้ลองนำเครื่องนี้เข้ามาและผมจะ ลองใช้ให้ดู

ผู้หญิง :  คือนำเทคโนโลยีนี้เข้ามาในเมืองไทยใช่ไหมคะ

นพ.สถาพร : ใช่ และปรากฏว่าก็เป็นตัวแรกในโลกที่ถูกนำมาใช้ เราก็ลองยิงครั้งแรกเป็นเวอร์ชั่นที่ไม่ค่อยดี พลังงานไม่คมพอ แสงไม่คมพอ ไม่กินสีมาก พลังงานต่ำเกินไป ทางบริษัทก็นำกลับไปปรับเป็นเวอร์ชั่น 2 สักปลายปี ที่แล้ว ผู้ประดิษฐ์เครื่องก็บินมาคุยกับผม ผมก็ให้คำแนะนำเขาเรื่องการพัฒนา Laser พวกนี้

ผู้หญิง :  ถ้าอย่างนั้นจะกล่าวได้ไหมคะว่าที่ Renovia นี่เป็นที่แรกที่ใช้เทคโนโลยี Soft Laser

นพ.สถาพร : ถูก ครับ เรื่องเทคโนโลยีใหม่นี้เป็นคอนเซ็พท์ที่หลายๆ คนที่อยู่ในวงการนี้ยังไม่เข้าใจ ผมได้พัฒนา เทคนิคการยิง Soft Laser ซึ่งเป็นเทคนิคที่เราสามารถใช้เลเซอร์ชนิดไหนก็ได้แต่ต้องทอนพลังงานให้มัน ต่ำลง โดยอาศัยหลักการทางฟิสิกส์ว่า ความเข้มข้นของแสงนั้นผกผันเป็นสัดส่วนเท่ากับหนึ่งส่วนระยะทางยกกำลังสอง และจะลดลงไปเรื่อยๆ ถ้าผิวหนังอยู่ ห่างจากด้ามที่ยิงเลเซอร์(handpiece)มากขึ้น ซึ่งผมได้ใช้ผลการศึกษาของผมแนะนำให้ผู้ผลิตเขาทอนพลังงานในแสงเลเซอร์ลง เสร็จแล้วเราก็ไปพัฒนาเทคนิค การยิงสีแต่ละชนิดที่อยู่ชั้นต่างๆของผิวหนัง เป็นชั้นๆไป ผิวหนังในชั้นหนังกำพร้านี่มีอยู่ 5 ชั้น ชั้นบนสุดจะเป็นเซลล์ ที่ตายแล้ว คนที่อายุมากจะมีเซลล์ที่ทับถมกันหนามาก ถึง 40-50 ชั้น ส่วนเด็กๆ ก็จะมี 10-20 ชั้น เหมือนใบไม้ บนลานวัดอย่างที่ผมเคยเปรียบเทียบไว้ ถ้าไม่กวาดลานวัดสักที ใบไม้มันก็ทับถมกันมาก การที่มันทับถมกันมาก ก็จะมีการสร้างเม็ดสีมาเกาะ เสร็จแล้วเซลล์พวกนี้มันก็จะเกาะกันแข็งมากและดำ ด้าน สีก็จะไม่สวย อันนี้ก็เป็นส่วนหนึ่ง อีกส่วนหนึ่งสีที่ถูกสร้างขึ้นมานี่ มันก็อยู่บนเส้นเลือดบ้าง อยู่บนไขมันบ้าง อยู่ในเซลล์ที่ตายแล้วบ้าง เพราะฉะนั้น วิธีการรักษาสีนี่เราจะต้องเริ่มจากการออกแบบวิธีการรักษาเป็นขั้นเป็นตอน โดยต้องกวาดใบไม้ออกก่อน เป็นชั้นๆ นี่คือเทคนิคการทำ Soft Laser คือทำเป็นชั้นๆ ไป เอาชั้นบนที่เป็นเซลล์ที่ตายออก ต่อมาก็ทำสีพื้นๆ ให้มันจางลง ขัดให้ผิวมันสวย คนที่เข้ามายิง Soft Laser กลับออกไปก็จะหน้าใสกันหมด จะไม่เป็นแผลอะไร ส่วนสีเม็ดที่แข็งๆ เราก็จะยิงให้แตกก่อน ส่วนที่เป็นน้ำเราก็จะ ทำให้น้ำมันระเหิดออกไป แล้วมันก็จะค่อยหายไปเรื่อยๆ

ผู้หญิง :  ฟังดูเป็นงานละเอียดนะคะ ต้องค่อยๆ ทำไปเป็นขั้นตอนทีละจุดๆ

นพ.สถาพร :  ครับ…มันเป็นงานศิลปะ ที่คนทำต้องมองเห็น ต้องตาดีและแยกออกว่าสีนี้เป็นอะไร ยังไง มีหมอหลายท่านที่มาเรียนกับผม ผมบอกว่าสีนี้ยังเปียกอยู่ ต้องอบให้มันแห้ง เขาก็ถามผมว่า “เปียกตรงไหนอาจารย์” (หัวเราะ) เขาดูอยู่ 6 เดือนจึงได้ถึงบางอ้อว่าที่อาจารย์บอกว่าสีเปียก คืออย่างนี้ พอเขาเริ่มเข้าใจสีแล้ว ก็จะยิงสี ออกมาเป็นธรรมชาติ เหมือนวาดระบายสี

ผู้หญิง :  การทำ Soft Laser นี่ไม่จำเป็นต้องทำเฉพาะกับคนที่เป็นฝ้าเท่านั้นใช่ไหมคะ

นพ.สถาพร :  ใช่ครับ ถ้าต้องการให้หน้าใส สวย ก็มาขัดผิวได้ เหมือนมาทำความสะอาดผิว ที่สำคัญคือ Soft Laser ทำให้เกิดภาวะ Photo rejuvenation ทำให้ผิวเป็นสาวขึ้น คือทำให้เซลล์ในชั้นล่างสร้างเซลล์ผิวหนังขึ้นมาใหม่ แทนชั้นบนที่ถูกทำให้หลุดออกไป จะมีคอลลาเจนเพิ่มขึ้น ลักษณะของ laser อย่างหนึ่งคือเป็น Photo rejuvenation ถ้าไม่ยิงแรงเกินไปจนมันไหม้ มีคนกล่าวว่ามันจะเปลี่ยน DNA ของเซลล์ในผิวชั้นล่างสุด ซึ่งเป็นชั้นที่ผลิตเซลล์ชั้นใหม่ มาทดแทน เป็น DNA ของเซลล์ที่เป็นสาวกว่าเดิม คือแม่เซลล์ที่เป็นสาวขึ้นก็จะปั๊มเซลล์ที่เป็นสาวออกมา แต่ถ้าแม่พิมพ์ที่เก่าก็จะพิมพ์เซลล์ที่เก่าออกมาเหมือนเดิม เช่น เป็นฝ้าอยู่ก็จะเป็นฝ้าเหมือนเดิม อันนี้ถือเป็นข้อดีของ Soft Laser

ผู้หญิง : ถ้าอย่างนั้น การใช้ยาทาจะสามารถรักษาฝ้าได้ไหมคะ

นพ.สถาพร : รักษา ได้ในชั้นต้นๆ ครับ เพราะยาแก้ฝ้าไม่สามารถทำให้เส้นเลือดฝอยมันฝ่อได้ แต่ว่ายาบางตัวเช่น Tranexamic acid ซึ่งเป็นยาห้ามเลือดก็ทำให้เส้นเลือดฝอยฝ่อได้เหมือนกัน บางทีเราก็ให้ทานด้วยประมาณ 1-2 เดือน แต่พวกนี้ก็ต้องยิง laser ด้วย เพราะโดยทั่วไปพอหยุดยาเส้นเลือดฝอยก็จะกลับมาแตกอีก ก็เกิดฝ้าอีก

ผู้หญิง :   ฝ้าที่เกิดจากเส้นเลือดฝอยแตกนี่ไม่ได้จะเป็นกันทุกคนใช่ไหมคะ

นพ.สถาพร :   มันเป็นกรรมพันธุ์ครับ จะเห็นได้จากคนที่ตอนเป็นสาวๆ นี่หน้าใสกิ๊ก แต่พออายุมากขึ้นเส้นเลือดก็แตก ไปเรื่อยๆ เพราะโดนแสง UV สัก 10-20 ปี พออายุ 40 ปีก็แตกไปเยอะแล้ว หน้าจะแดงแล้วก็ปล่อยสารพวกนี้ออกมา บางคนก็เป็นสิว หน้ามันมากขึ้น อายุมากขึ้นทำไมเป็นสิวได้ ก็เพราะเส้นเลือดฝอยที่แตกมากขึ้น นอกจากปล่อย สารสร้างเม็ดสีแล้ว ยังทำให้อุณหภูมิที่ใบหน้าสูงด้วย ต่อมน้ำมันก็ขยาย น้ำมันก็ออกมาเยอะ เชื้อโรคมากินก็เป็นสิว ก็จะเป็นที่เก่าที่เคยเป็นนั่นแหละ พอกินยา ทายาก็หาย แต่พอมีอะไรมากระตุ้นก็สร้างขึ้นมาอีก

ผู้หญิง :  การรักษาด้วย soft laser เคสหนึ่งนี่ต้องใช้เวลาเท่าไหร่คะ

นพ.สถาพร : ขึ้น อยู่กับว่าคนๆ นั้นเป็นเยอะหรือเป็นน้อย บางทีเราก็ยิง 2 สัปดาห์ทีหนึ่ง ประมาณสัก 6 ครั้ง ตามธรรมชาติของผิวที่จะผลัดเซลล์ได้ ถ้าไม่หายก็จะต่ออีกคอร์สหนึ่ง แต่ส่วนใหญ่เมื่อหายแล้ว ถ้าเรากันแดดดีๆ ก็จะไม่เป็นอีก เพราะมันเกิดจากการที่แสง UV ทำให้เส้นเลือดฝอยแตก เหมือนเราไปเที่ยวทะเล กลับมาหน้าดำ เพราะเส้นเลือดขยายมากจนแตก เรื่องฝ้านี่เป็นเรื่องที่ละเอียด การรักษาฝ้าให้หายดีจึงค่อนข้างยาก ขึ้นอยู่กับอายุ และเป็นมากน้อยแค่ไหน เส้นเลือดฝอยแตกมากมั้ย เพราะคนที่อายุมากขึ้นแล้วไม่บำรุงรักษา ผิวก็จะบางลงไปเรื่อยๆ เส้นเลือดฝอยที่มาเกาะก็จะบางมาก เวลายิงต้องค่อยๆ ลอกออก ถ้ายิงแรงมาก เม็ดสีจะตายหมดกลายเป็นด่างขาว ได้ง่าย นอกจากนี้ยังขึ้นอยู่กับผิวของแต่ละคน และน้ำหนักมือของผู้ที่ทำการรักษา และในแต่ละครั้งที่มา คนๆ เดียวกันก็มาไม่เหมือนกัน เนื่องจากอุณหภูมิที่หน้าตอนมาตรวจแต่ละครั้งไม่เท่ากัน แล้วคนไข้ที่มาในวันนี้ เมื่อ 2-3 วันก่อนได้รับแสง UV มามากน้อยแค่ไหน จึงต้องมาทดสอบดู ประเมินว่าต้องใช้พลังงานเท่าไหร่ ต้องเซ็ตค่าใหม่

สมัยแรกๆ Dr. Peter Davis ที่เป็นผู้ผลิต Dual Yellow (เครื่องยิงเลเซอร์แบบหนึ่ง) เคยถามผมว่า “ยูใช้สูตร(Protocol)อะไรในการยิงเลเซอร์” ผมบอกว่าผมไม่มีสูตร เขาก็ไม่เข้าใจว่าทำไมไม่มีสูตร เขาอุตส่าห์ทำสูตรไว้ให้สำหรับ ยิงเลเซอร์เครื่องเขา พอเขาเห็นวิธีที่ผมยิงก็เลยเข้าใจ เพราะผมบอกว่ามันเป็นงานศิลปะ

ผู้หญิง :  ฝ้ากับกระเหมือนหรือต่างกันอย่างไร และมีวิธีสังเกตอย่างไรคะ

นพ.สถาพร :    แยกโดยลักษณะคือ “กระ” มีลักษณะทางกายภาพเป็นจุด มีขอบเขตชัดเจน ส่วน ”ฝ้า” ก็เป็นปื้น แต่สำหรับหมอ เราจัดว่าทั้งหมดเป็นสีที่เกิดบนใบหน้าเหมือนกัน แต่จะดูว่ามันอยู่ตำแหน่งไหน ลึกตื้นแค่ไหน เป็นสีที่เกิดจากเส้นเลือด และ/หรือที่เกิดจากการกระตุ้นด้วยแสงแดด นี่คือคอนเซ็พท์ใหม่ของเวชศาสตร์ความงาม ซึ่งจะไม่เหมือนกับทาง dermatology ที่จะคำนึงหลายด้าน

ผู้หญิง : คนที่ทำ soft laser ไปจากการเป็นฝ้า เขามีผลตอบรับหรือความพึงพอใจอย่างไรบ้างคะ เพราะเชื่อว่าบางคนต้องรักษามาแล้วหลายที่

นพ.สถาพร : ถูก ต้องครับ ส่วนใหญ่แล้วรักษามาหลายที่ ปัญหาอันที่หนึ่งอยู่ที่ความคาดหวังของคนไข้ บางคนเข้าใจผิดว่าสีบนหน้านี่เหมือนกับการเขียนไวท์บอร์ด เขียนเสร็จแล้วเอาแปรงลบออกทีเดียวก็หาย และก็คิดว่าการใช้เลเซอร์ลบออกนี่จะทำให้ใสกิ๊งเลย อันนี้เป็นความคาดหวังที่ไม่ค่อยถูกต้อง คือคนที่คาดหวังแบบนี้เขาก็จะคิดว่าทำไมไม่หายสักที ถ้ามองสีเป็นแค่ 2 มิติ เหมือนเขียนไวท์บอร์ดแล้วลบก็หาย เขาก็บอกทำไมมันขยายวงมากขึ้น ก็เป็นความเข้าใจที่ไม่ถูก การรักษาฝ้า เราต้องมองสีพวกนี้เป็น 3 มิติ เพราะผิวมีอยู่ 5 ชั้น สีนี่มันจะอยู่ชั้นไหนก็ได้ เม็ดสีนี่มันถูกสร้างที่ชั้นล่างสุดแล้วถูกเลื่อนขึ้นมา ตอนที่ถูกสร้างขึ้นมา เม็ดสีที่ไปเกาะ ตามเซลล์ผิวหนังจะไม่ค่อยมีสี แต่พอเลื่อนขึ้นมาใกล้ชั้นบนสุดที่โดนแสง UV มากๆ สีมันก็จะเข้มขึ้นเรื่อยๆ เพราะฉะนั้น เวลาเราเอาสีชั้นบนออกนี่ ถ้าหากว่าสีชั้นล่างไม่มี หน้าก็จะใสกิ๊งเลย แต่ถ้าหากว่าสีชั้นล่างมีมากกว่าสีชั้นบน เวลาเลื่อนขึ้นมามันก็จะรู้สึกเข้มขึ้น แต่ทีนี้ เราก็ต้องให้ความรู้คนไข้ว่าที่เลื่อนขึ้นมานี่ ต้องให้มันเลื่อนขึ้นมาให้หมด พอเลื่อนมาทุกชั้นแล้วจึงถูกเซลล์ในแต่ละชั้นผลัดเซลล์ออกเป็นผิวใหม่ เราถึงจะได้ผิวที่สวยทั่วถึง และยิ่งกว่านั้นถ้าเรามีการดูแลผิวที่ดี ไม่ว่าเราจะอายุเท่าไหร่ เราจะดูหน้าสดใสโดยไม่ดูหลอก แต่จะดูมีน้ำมีนวล มีความกระจ่าง ของผิวเป็นธรรมชาติ

ผู้หญิง : การดูแลผิวอย่างดีของคุณหมอหมายถึงอะไรบ้างคะ

นพ.สถาพร : ก็ คือการทำ Photo rejuvenation ด้วย Soft Laser อย่างสม่ำเสมอ 2-3 เดือนให้ทำครั้งหนึ่ง มีการดูแลด้วยการทาครีมกันแดด ทามอยซ์เจอร์ไรเซอร์ให้ผิวชุ่มชื้น และมีวิธีการทากันแดดให้ถูกต้อง โดยปกติ สารกันแดดจะติดอยู่กับเราประมาณ 1-2 ชั่วโมง หลุดไปกับเหงื่อบ้างถ้ามันละลายในน้ำ และหลุดไปกับน้ำมันบนใบหน้า ถ้ามันละลายในน้ำมัน เพราะฉะนั้นถ้าเราต้องออกแดดตอนบ่ายๆ ก็ต้องทาซ้ำอีกทีหรือหาแบบที่ไม่ละลายน้ำ ไม่ละลายน้ำมัน ก็จะติดอยู่นานขึ้น SPF 30-35 ขึ้นไปนี่ใช้ได้หมด ไม่ต้องเอา SPF ที่สูงมาก เพราะอาจจะแพ้มากขึ้น แล้วก็กางร่มกันแดด ใส่แว่นตาดำใหญ่ๆ เพราะบริเวณใต้ตาผิวค่อนข้างจะอ่อนและและเส้นเลือดใต้ตามีเยอะ พอเวลาโดนแดดก็จะแตกและขยายออก ก็จะเป็นฝ้าขึ้นเต็มตาหรือเกิดลักษณะตาคล้ำตาดำได้

ส่วนการใช้มอยซ์เจอร์ ไรเซอร์นี่ต้องรู้จักใช้ ไม่ต้องใช้ของแพงมาก ขอเพียงแต่เราชอบและเลือกที่ใช้แล้วไม่แพ้ ที่สำคัญ เวลาทาเราต้องนวด จากที่ผมไปเรียนที่สถาบัน Dr. Ana พวกเวชสำอางค์ที่เกี่ยวกับการชะลอความแก่นี่นะ เขาสอนทำ Digital Massage คือการใช้อุ้งนิ้วมือนวดผิวให้มอยซ์เจอร์ไรเซอร์ซึมเข้าไป นวดจนรู้สึกหมาดๆ แสดงว่าซึมเข้าไปลึกแล้วก็ค่อยพอ คนส่วนใหญ่มักทาให้รู้สึกว่าลื่นๆ ยังไม่ทันได้ซึมลงไปก็พอซะแล้ว แบบนี้ทามากก็ไม่ได้ประโยชน์ ดังนั้นควรทำ digital massage คือใช้อุ้งนิ้วมือ 2-3 นิ้วนวดด้วยจะดีกว่า นวดเบาๆ ตั้งแต่คอขึ้นไป ซึ่งเราสามารถนวดด้วยตัวเองได้ ผิวที่แห้งๆ รู้สึกไม่สดชื่น ไม่เยาว์วัย ลองทำทุกวันทั้งเช้าและก่อนนอน หรือหลังอาบน้ำสัก 2-3 อาทิตย์ จะรู้สึกเลยว่าผิวดีขึ้นสวยขึ้น

ผู้หญิง :  นอกจาก soft laser แล้ว มีการดูแลหรือรักษาอะไรอื่นอีกบ้างคะที่ Renovia 

นพ.สถาพร :  คือเรื่องสีผิวนี่จะอยู่ในชั้นหนังกำพร้า ตัวต่อมาที่เกี่ยวกับรอยย่น เกี่ยวกับความเป็นหนุ่มเป็นสาว จะอยู่ในชั้นหนังแท้ หนังแท้เป็นชั้นที่มี collagen fiber กับ elastin ที่ทำให้ผิวยืดหยุ่นได้ดี ตอนเราเด็กๆ collagen ช่วยทำให้เกิดความแข็งแรง elastin ทำให้เกิดการยืดหยุ่นได้ดีเหมือนยาง ตอนเด็กเราจะอ้วนสั้น หน้าก็จะรู้สึกเต่งตึง พออายุมากขึ้น โดนแสง UV นานๆ ผิวยืดออกเหมือนหนังสติ๊กก็บางลงเรื่อยๆ ความยืดหยุ่นก็เสียไป พอความยืดหยุ่นเสีย ก็จะสู้แรงดึงดูดโลกไม่ไหว ถ้าเรานอนด้านหันด้านไหนผิวด้านนั้นก็จะยืด เวลายิ้มมากก็จะมีรอย นี่ก็เป็นสาเหตุที่ทำให้เราดูแก่ อีกทั้งพวกไขมันต่างๆ ใต้ผิวหนังก็จะถูกดึงตามแรงดึงดูดลงมา ทำให้ตาตก แก้มตก มุมปากตก หลักการคือเราจะฟื้นฟูการยืดหยุ่นนี้ได้อย่างไร ถ้าเป็นสมัยก่อน คือพอผิวมันยืดออก ก็แก้ปัญหาที่ ความยาวของผิว มันยืดมากก็ตัดออก คือการผ่าตัดดึงหน้าแล้วเย็บแต่ว่าเวลาเย็บเสร็จผิวก็ถูกดึงขึ้นมาก็จะบางลง ไปอีก ทีนี้คนเราอายุยืนขึ้น ผ่าสัก 2-3 ทีมันก็บางมากไปแล้ว ก็ทำให้ตาปลิ้น ตาโบ๋ และอีกสารพัด มันก็ทำให้ดูไม่ดี เหมือนใส่หน้ากาก จึงมีการพัฒนาวิธีทำให้ผิวหนังหดลงเรียกว่า liquid facelift ก็คือไม่ใช้การผ่าตัด แต่เป็นการใช้ยา เป็น non-surgical facelift ตั้งแต่การเริ่มฉีด Botox ซึ่งเป็นพวก Botulinum Toxin Type A ใช้ฉีดเข้าไปในกล้ามเนื้อ ทำให้กล้ามเนื้อคลาย พอกล้ามเนื้อคลาย เรายิ้มไม่ได้ แสดงสีหน้าไม่ได้ ก็เลยไม่มีรอยย่น ไม่มีรอยตีนกา  แต่ผลข้างเคียงก็คือจะดูเหมือนหน้าตาย ไม่มีชีวิตชีวา และตาจะดูดุ ก็จะดูไม่ดี

ต่อมามีวิธีการ Dermolift คือใช้ Botolinum Toxin Type A เหมือนกัน ฉีดเข้าไปในชั้นหนังแท้ แรกๆ ก็ใช้กลุ่มที่มีโมเลกุลเล็กๆ ยิงเข้าไปในชั้นหนังแท้ ก็จะทำให้โครงสร้างของเซลล์ที่ประกอบด้วยไซโตปลาสซึม กับนิวเคลียส เซลล์มีโครงสร้างอยู่ได้ก็เนื่องจากว่ามันมีเสาเข็มเหมือนเสาบ้าน ทำให้บ้านคงเป็นรูปร่างได้ เขาเรียกว่า microfilament พออายุมากขึ้นเสาก็เริ่มล้ม เพราะฉะนั้น พอฉีดเข้าไปก็เกิดการเปลี่ยนแปลง ทำให้โครงสร้างของเสา มันหด เซลล์ก็ตั้งขึ้นมาเหมือนเดิม เห็นผลทันทีภายใน 10 นาที พอมันหด collagen กับ elastin ที่เกาะอยู่บนเสา ก็จะเลื่อนหดตามไปด้วย เหมือนตาข่ายที่ตาห่างๆ ก็ยึดกันแคบเข้ามา ผิวก็เลยจะหดทันที และหดต่อไปอีกใน 2 สัปดาห์ หลังจากนั้นยาก็จะสลายตัวและกระตุ้นให้เซลล์ ไฟโบรบลาสต์ Fibroblast สร้าง collagen กับ elastin ที่เป็นสาวเยาว์วัยกว่าเดิมมาแทน ผิวก็จะหนาขึ้น จะสร้างอยู่ประมาณ 3 เดือน ตามที่ผมศึกษาไว้ ฉีดครั้งหนึ่ง ก็จะอยู่ได้ 1 ปี ถ้าซ้ำตอน 4 เดือน กับตอนครบ 1 ปี ก็จะอยู่ได้นาน 3-5 ปี ให้ผลใกล้เคียงกับการผ่าตัด ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับ ผิวเขาว่ายืดมาก-น้อยแค่ไหน นี้ก็เป็นเทคนิคที่ 2

ต่อมาเนื่องจากตัว พวกที่ฉีดเข้าไปนี่แรงดึงมันค่อนข้างน้อย บางคนที่แก้มย้อยมากๆ ตาตกมากๆ ก็ใช้ไม่ได้ผล เพราะว่าฉีดเข้าไปที่บริเวณใต้ตาไม่ได้ ทำให้มีปัญหา เลยมีการประดิษฐ์พวก “ไหม” ขึ้นมา ซึ่งปัจจุบัน วิธีที่ปลอดภัย ที่สุดก็คือใช้ไหมละลาย PDO (หรือ Polydioxanone ที่ใช้ในการเย็บแผลผ่าตัดภายในทั่วๆ ไป) ที่จะเริ่มละลายตอน เดือนหนึ่ง และละลายหมดตอน 6 เดือน ตอนไหมเริ่มละลายมันก็จะสร้าง collagen fiber ขึ้นมาเหมือนกับการหาย ของแผลตามธรรมชาติ เป็นการเลียนแบบการเย็บแผล พอ collagen มากขึ้นมันจะดึงให้ผิวตึงตามแนวที่เราร้อยไหมไว้ หมอก็จะร้อยในตำแหน่งที่เราต้องการแรงดึงมากๆ

ผู้หญิง : กระบวนการที่เราร้อยไหมเข้าไปจึงเหมือนเราไปทำให้เกิดแผลข้างใน จนกระทั่งไหมละลายแล้ว เซลล์ข้างในก็จะรักษาตัวมันเองใช่ไหมคะ

นพ.สถาพร : ใช่ ครับ ข้างนอกก็จะไม่มีรอยแผลเป็นอะไรเลย ก็ใช้หลักนี้ในการรักษา ส่วนวิธีการร้อยก็จะแตกต่างกัน ไม่ใช่ว่าร้อยไปแล้วจะตึงกันทุกคน ต้องรู้ตำแหน่งที่จะร้อยว่าต้องร้อยอย่างไร ใช้ไหมชนิดไหน ไหมเส้นใหญ่เส้นเล็ก แนวการร้อยและการถักต้องลงไปถึงชั้นไหน เช่น ถ้าต้องการที่จะบีบไขมัน ก็ต้องถักลึกหน่อยให้ไขมันตรงแก้มหายไป บริเวณไหนที่ต้องการแบบตื้นๆ เช่น ร้อยแทนการฉีด filler ก็ต้องร้อยตื้นนิดหนึ่ง เพื่อช่วยให้หน้าอิ่มขึ้นมาด้วย ทำให้ร่องใต้ตาหายไปหรือตื้นขึ้น และผลที่ได้อยู่นานกว่าการฉีด filler ทั้งนี้ การจะร้อยตรงไหนอย่างไร คุณหมอจะเป็นผู้วินิจฉัยและออกแบบการร้อยตามลักษณะของแต่ละคน เช่น ทำให้หน้าได้รูปเป็น V shape บ้าง ตาที่ตกคิ้วที่ตกก็ยกขึ้นได้ ซึ่งบางทีคนที่ตาตกมากๆ อย่างคนอายุมากๆ ถ้าทำตา 2 ชั้น แล้วผิวหนังมีน้อย ถ้าตัดผิวหนังออก ตาก็จะโบ๋แล้วก็ดูไม่สวย ยิ่งอายุมากขึ้นก็ยิ่งโบ๋มากขึ้น เพราะฉะนั้นการร้อยไหมก็จะช่วยได้ ทำให้ผิวมีความหนาขึ้น ตาก็ไม่รู้สึกโบ๋ ในขณะที่หนังตาก็ไม่ตก เพราะถูกรั้งขึ้นไปด้วย

ผู้หญิง :  ใช้ระยะเวลาในการฟื้นตัวหลังการร้อยไหมนานเท่าไหร่คะ

นพ.สถาพร :  ระยะแรกของการหายของแผลเป็นที่อักเสบอยู่นี่ ก็ประมาณ 1 สัปดาห์ การร้อยไหมก็คือการมีสิ่ง แปลกปลอมเข้าไปในผิวหนังของเรา เป็นการเย็บ ยิ่งถ้าเย็บลึกก็มีเลือดออกเยอะ มีการบวมซึ่งใช้เวลา 3-7 วันก็หาย หลังจากนั้นก็จะเป็นช่วงที่คอลลาเจนเกิดขึ้นตามแนวที่เราร้อยไหมไว้ ทำให้หน้าเข้ารูปมากขึ้น โดยจะได้ผลมากที่สุด ตอนประมาณ 6 เดือน และอยู่ได้ประมาณ 1-3 ปี

ผู้หญิง :เล่าขั้นตอนการร้อยไหมให้ฟังหน่อยได้ไหมคะ

นพ.สถาพร : ครับ เริ่มต้นเราจะให้ทายาชาก่อนสัก 1 ชั่วโมง จากนั้นก็จะนั่งวาดแนวที่เราจะร้อยไหมให้คนไข้ดู แล้วค่อยฉีดยาชาตามแนวนั้นก่อนถึงจะร้อย การร้อยไหมก็ทำโดยไหมจะอยู่ในเข็ม เราก็เอาเข็มสอดเข้าไปใต้ผิวตามแนวที่วาดไว้ พอดึงเข็มออกไหมก็จะค้างอยู่ ถ้าทำทั้งหน้าก็ใช้เวลาประมาณครึ่งชั่วโมง ถ้าร้อยไม่มาก ประมาณ 10-15 นาทีก็เสร็จ จากนั้นต้องประคบน้ำแข็งไม่ให้เลือดออกและไม่ให้บวมสัก 15-20 นาที และพอกลับบ้าน ก็แนะนำให้ประคบ ต่ออีกสักครึ่งชั่วโมง ให้ประคบเย็นบ่อยๆ จะช่วยลดบวมได้ดี บางคนก็แทบไม่บวมเลยถ้าสภาพผิวดี หมอจะมียาป้องกัน การอักเสบและยาแก้ปวดให้ทาน กลับบ้านนอกจากประคบแล้ว วันรุ่งขึ้นก็ใช้ชีวิตได้ตามปกติ ถ้าหากมีปัญหาเช่น รู้สึกว่ามีไหมโผล่ออกมาก็มาตัดได้ แต่ส่วนใหญ่ก็จะไม่มี พวกนี้มันก็ไม่เป็นอันตรายหรอก แต่หลังจากทำไปอาทิตย์หนึ่งก็ต้องนัดมาดูว่ามีอะไรหรือเปล่า โดยในระหว่างหนึ่งอาทิตย์นั้น เขาก็สามารถที่จะดูแลผิว และ make up แต่งหน้าและทำอะไรได้เหมือนปกติทุกอย่าง หลีกเลี่ยงการทำให้หน้าร้อน นวดหน้าแรงๆ ทำเลเซอร์สัก 3-4 สัปดาห์ ไหมจะได้ไม่ละลายก่อนกำหนด

ผู้หญิง : คุณหมอจะเป็นคนเลือกการรักษาแต่ละแบบให้กับคนไข้ใช่ไหมคะว่าเขาเหมาะกับแบบไหน

นพ.สถาพร : ผม จะแนะนำให้ว่าเขาควรทำแบบไหน แต่ถ้าเขายืนยันจะทำในแบบของเขา เราก็ทำให้ แต่จะอธิบาย ให้เขาฟังว่าคุณอาจต้องทำเพิ่มในส่วนนั้นส่วนนี้ แต่บางทีเขาก็ทำทีละอย่าง ความงามเป็นอะไรที่เราต้องค่อยๆ ทำ เพราะว่าถ้าทำทีเดียวนี่มันเลอะ แม้แต่การร้อยไหม บางทีก็ต้องร้อยเป็น 2 สเต็ป อันแรกถ้าจะร้อยอย่างเดียว ก็ร้อยยกหน้าขึ้น แล้วถึงมาเก็บพวกมุมปาก ร่องแก้มทีหลัง อีกสัก 2-3 เดือนหลังจากนั้น

ผู้หญิง :  โดยสรุปง่ายๆ การดูแลรักษาแต่ละแบบมีข้อดีหรือมีผลที่ได้ต่างกันอย่างไรคะ

นพ.สถาพร : Dermolift นี่เราฉีดทั้งหน้าเพื่อให้ดูเป็นสาว ให้ Looks Younger และพวกนี้เห็นผลเร็ว ฉีดแล้วเห็นผลเลย และถ้าซ้ำอีกทีตอน 4 เดือนกับตอนครบ 1 ปี ก็จะดูเป็นหนุ่มเป็นสาวยาวนานขึ้น ส่วนร้อยไหมเราจะร้อยในตำแหน่ง ที่ต้องการแรงดึงเยอะๆ เช่น แก้ม หรือบริเวณที่มีไขมันเยอะๆ ยกคิ้ว ยกตา ร่องใต้ตา ร่องแก้ม เหล่านี้ DermoLift ยกไม่ได้มาก เราจะใช้ การร้อยไหม ส่วน filler จะใช้ในการเติมให้เต็ม เช่น แก้มตอบ ก็ฉีด filler เพิ่มแก้ม ทำจมูกให้โด่ง ทำให้คางยาวขึ้น หรือทำหน้าผากให้โหนกนูนเหมือนอั้ม ถ้าชอบอยากทำเราก็มีฉีดให้ Filler อยู่ไม่นาน 3 เดือน 6 เดือน หรือ ปีหนึ่ง แล้วแต่ชนิดของ Filler ที่สำคัญอาจเป็นก้อน หรือ ฉีดเข้าเส้นเลือดแดงทำให้เป็นอันตรายได้ ผู้ฉีดต้องระวังและมีประสพการณ์พอ

ผู้หญิง :  คุณหมอมีคำแนะนำสำหรับคนไข้ใหม่ๆ ในการเลือกใช้บริการเสริมความงามอย่างไรบ้างคะ

นพ.สถาพร : ความ งามนี่เป็นความชอบส่วนตัว ขึ้นอยู่กับว่าเราจะมองอย่างไร ถ้าเขาอยากจะสวยเพราะความสวย ทำให้ชีวิตเขาดีขึ้น มีความสุขมากขึ้น มีความมั่นใจมากขึ้น หน้าที่การงานดีขึ้น พวกนี้ก็ควรจะมาทำ คือส่วนใหญ่แล้ว ถ้าเรารู้สึกดี เราก็จิตใจไม่หดหู่ พออายุมากขึ้นก็ต้องทำให้ตัวเราดูเป็นสาวเป็นหนุ่มมากขึ้น เพราะว่าถ้าเราดูไม่ดี จิตใจเราก็จะหดหู่ เวลาคนอายุมากนี่จะมีภาวะหดหู่ ที่เรียกว่า depression แล้วก็ไม่อยากมีชีวิตอยู่ แล้วก็ไม่สู้ชีวิต       Dr. Ana Aslan พูดมาคำหนึ่งว่า “การเป็นหนุ่มสาวอยู่เสมอ ไม่ใช่การมีชีวิต 25 ปีบริบูรณ์ตลอดเวลา แต่การเป็นหนุ่มสาว อยู่เสมอ คือการมีจิตใจที่ต่อสู้เพื่ออุดมการณ์ในชีวิตของตัวเองตลอดเวลา”ต้อง เป็นคนที่อยากจะต่อสู้ เพราะฉะนั้น การที่เราอายุมากขึ้นแล้วอยู่อย่างเป็นหนุ่มเป็นสาว จะทำให้เราอยากจะทำสิ่งใหม่ๆ ต่างๆ ในชีวิตให้มันดีเจริญก้าวหน้า ตัวเองก็จะมีความสุขด้วย

ผู้หญิง :  แล้ว คุณหมอมีคำแนะนำสำหรับคนที่ต้องการจะดูแลความงาม หรือหาสถานที่ที่จะเข้าไป รับบริการเกี่ยวกับความงามแบบนี้เป็นครั้งแรก อย่างไรบ้างคะ

นพ.สถาพร :  อย่างแรกต้องมองความต้องการของตัวเองก่อน ว่าต้องการอย่างไรบ้าง สองคือ มีทุนทรัพย์และเวลา ที่จะไปรักษาได้ที่ไหน สามคือเลือกสถานที่ที่ได้มาตรฐานพอสมควร บางที่แพงแต่ก็อาจจะไม่ค่อยดี บางที่ถูกแถมยัง ไม่ค่อยดีก็มี ต้องดูว่าที่ไหนดีเหมาะกับตัวเอง และมีหลักวิชาการที่ดี บางทีถ้าเรามองอะไรที่มันราคาถูกเกินไปหรือว่า ง่ายเกินไป เช่น ไปทำให้ตามบ้าน ดูสะดวก มันก็จะมีปัญหาตามมาได้ ต้องหาสถานที่ที่ได้มาตรฐาน เช่น คลินิกที่ได้มาตรฐาน และก่อนทำ ควรหาความรู้ในแหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถือ บางทีข้อมูลบางแห่งไม่น่าเชื่อถือก็จะทำให้ เราหลงทางได้ ต้องดูแหล่งข้อมูลให้ดีด้วย ถ้าแบบกลางๆ ก็จะเป็นพวกสถาบันต่างๆ ทางการแพทย์หรือว่า หาอ่านจากวารสารที่ได้มาตรฐานเกี่ยวกับเรื่องนี้

ผู้หญิง : ขออนุญาตหันมาถามเรื่องชีวิตส่วนตัวและชีวิตครอบครัวด้วยค่ะว่า ครอบครัวของคุณหมอ มีสมาชิกกันกี่คน เป็นอย่างไรกันบ้างคะ

นพ.สถาพร :  ผมกับภรรยา (แพทย์หญิงวารุณี จินารัตน์ อดีตผู้อำนวยการโรงพยาบาลราชวิถี และปัจจุบันเป็นรองอธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์) มีลูกสามคนครับ คนโต “อิสรา” เป็นนักบินเฮลิคอปเตอร์ให้กับบริษัท CP แต่ก่อนก็บินให้กับบริษัทน้ำมันทางภาคใต้ คนที่สอง “ปวีณา” จบปริญญาโทจากอังกฤษ ตอนนี้มาช่วยงานที่ Renovia และตอนนี้กำลังเรียนปริญญาโทอีกใบที่ ม.มหิดลอินเตอร์ ในขณะที่กำลังบริหารคลินิกนี้ไปด้วย ส่วนคนที่สาม “วรฤทธิ์” เป็นนักเรียนแพทย์ชั้นปี 4 อยู่ที่มหาวิทยาลัยรังสิต

ผู้หญิง : คุณหมอมีความภาคภูมิใจกับลูกๆ และมีหลักในการดูแลเลี้ยงดูเขาอย่างไรตั้งแต่ตอนเด็กคะ

นพ.สถาพร : ก็ ภูมิใจนะ (หัวเราะ) คือเราปล่อยให้เขาเจริญเติบโตตามธรรมชาติ ในฐานะที่เป็นชาวคาทอลิกผมถือว่าลูกๆ เป็นของฝากที่พระเจ้าฝากมาให้ดูแลในสวนเรา เราก็มีหน้าที่ใส่ปุ่ย ใส่ยาฆ่าแมลง แล้วก็ให้เด็กๆ เจริญเติบโตตามสิ่งที่เขาอยากเป็นและเขามีภารกิจที่จะต้องเป็น เราก็จะไม่ค่อยไปบังคับลูกมากนัก แต่จะให้ คำแนะนำว่าควรทำอย่างไรบ้าง

ผู้หญิง :  แล้วคุณหมอมีวิธีในการดูแลชีวิตคู่อย่างไรคะ

นพ.สถาพร : อัน นี้เป็นชีวิตที่เราต้องเคารพกัน สำคัญที่สุดคือการเคารพนับถือความเป็นตัวเขา ผมถามเสมอว่า อะไรเป็นบทพิสูจน์ของความรัก ไม่ค่อยมีคนตอบผมได้หรอก บทพิสูจน์ของความรักก็คือ “การทำในสิ่งซึ่งเป็นหน้าที่ที่คนรักต้องทำให้แก่กันแม้ในขณะที่มีความรู้สึกเกลียดชัง” เรา อยู่ด้วยกันเราอาจจะไม่ได้รักกันทุกวันหรอก บางทีเราก็โกรธกันเกลียดกัน แต่เราก็ยังเป็นคนรักของกันและกัน และทำหน้าที่ของคนรักอยู่ตลอดเวลา

ผู้หญิง :  คือยังคงทำหน้าที่ของตนในฐานะของคนรัก แม้ว่าวันนั้นเราจะเกลียดเขาหรือคะ

นพ.สถาพร : ใช่ อันนี้คือความรักที่แท้จริงที่เรามีในชีวิตคู่ ถ้าเราจะทำหน้าที่คนรักเฉพาะตอนที่เขารักเรา หรือตอนที่ดีกับเรา เราก็จะไม่ต่างกับคนอื่นเลย

ผู้หญิง :  ใน ฐานะของคุณหมอที่ดูแลชีวิตคนตั้งแต่เกิด เพราะคุณหมอเป็นสูติแพทย์ด้วย จนกระทั่งถึง มีคุณภาพชีวิตที่ดี ในฐานะแพทย์ทางเวชศาสตร์ความงาม คุณหมอมีอะไรอยากฝากถึงผู้อ่านที่จะต้องดำเนิน ชีวิตอย่างมีคุณภาพชีวิต และก็รวมถึงสิ่งที่คุณหมอทำอยู่ที่ต้องดูแลคนไข้จนถึงทุกวันนี้ด้วยค่ะ

นพ.สถาพร : ชีวิต ของเรา เราต้องดูแลให้ดีที่สุด เราเกิดมาต้องมีความสุขในชีวิต ทำทุกอย่างเพื่อให้มีคุณภาพชีวิตที่ดี และทำให้คนที่อยู่รอบๆ ตัวเรามีคุณภาพชีวิตที่ดีด้วย ไม่ว่าเราจะทำอะไรก็ตาม มีหลายคนส่งอีเมลมาให้ผมอ่าน เกี่ยวกับหมอชาวฮ่องกงที่มาทำเวชศาสตร์ความงามแล้วรวยและเป็นมะเร็ง เขาก็ถามผมกันว่าทำไมเปลี่ยนอาชีพจาก ที่เคยช่วยเหลือคนมาทำเรื่องความงาม ผมบอกว่าเราเกิดมาทำทุกอย่างไม่ใช่เพื่อตัวเราเอง ถ้าเราแสวงหาตัวเราเอง เราก็จะไม่พบอะไร แต่เราทำทุกอย่างเพื่อให้คนอื่นมีความสุข เพราะฉะนั้นทุกอาชีพที่เราทำมันมีความหมายต่อคนอื่น ทั้งนั้นแหละ การทำให้คนมีคุณภาพชีวิตที่ดี มันเป็นอีกมิติหนึ่งของการรักษาพยาบาล ซึ่งการแพทย์เริ่มจากการรักษาโรค ที่เรียกว่า Curative Medicine ต่อมาก็เป็นการป้องกันโรคคือ Preventive Medicine และสุดท้ายคือ Promotive Medicine ซึ่งอันนี้คือศาสตร์ที่เข้ามาอีกยุคหนึ่งที่ทำให้ชีวิตของเรามีคุณภาพชีวิต ที่ดีขึ้น คนที่เจ็บป่วยก็มี แต่คนที่ไม่เจ็บป่วยนี่ มีมากกว่า แต่คนเหล่านั้นไม่มีคุณภาพชีวิตที่ดี เพราะฉะนั้น วิชานี้ก็จะช่วยให้คนกลุ่มที่ไม่เจ็บป่วยนี่มีความสุขมากขึ้น ก็เป็นภาระกิจของเวชศาสตร์ความงาม

ผู้หญิง :  คำถามสุดท้ายค่ะ คุณหมอมีความสุขที่สุดตอนไหนคะ

นพ.สถาพร :  ตอนที่ทำ laser ตอนที่ฉีดหน้าให้คนไข้นี่แหละ มันเป็นงานศิลปะ ผมชอบนะ (ยิ้ม)

 

โดย นายแพทย์สถาพร จินารัตน์

 

ขอบคุณที่มา จาก คอลัมสัมภาษณ์ใน นิตยสารผู้หญิงฉบับเดือน พฤษภาคม 2556

เรื่องน่าสนใจ