จากหนังสืออัตชีวประวัติชื่อดังของ Henri ‘Papillon’ Charrière สู่ภาพยนตร์ที่ว่าด้วยช่วงเวลามืดมนในคุกอันโหดร้ายบนดินแดนป่าเถื่อนอันเป็นอาณานิคมของฝรั่งเศสยุค 1930 และมันก็มาครบพร้อมกับทุกสิ่งที่เราคาดหวัง ไม่ว่าจะเป็นการพูดถึงคุณค่าความเป็นมนุษย์ในคุกอันเป็นที่รวมตัวของคนเลวทราม, การรับมือกับด้านมืดในจิตใจมนุษย์ทั้งของเพื่อนนักโทษ ผู้คุมโฉด และตัวเราเอง, มิตรภาพระหว่างเพื่อนนักโทษอันเต็มไปด้วยความดีงามหล่อเลี้ยงจิตใจ, ฉากแอ็คชั่นต่อสู้โหดๆ ของเหล่าคนเถื่อน, ฉากแหกคุกลุ้นระทึก (ที่ Papillon มีให้เราดูจุใจ เพราะแหกกันหลายรอบ … ฮา) และการส่งพลังบวกให้กับผู้ชมได้รับรู้ถึงคุณค่าของอิสรภาพ และความหมายของการมีชีวิตอยู่ แน่นอน งานโปรดักชั่น ทีมนักแสดง และการกำกับของผู้กำกับหนุ่มชาวเดนมาร์ก Michael Noer ก็ไม่มีอะไรให้ติติง

 

Papillion

 

ชอบที่หนังเดินหน้าเล่าในช่วงแรกรวบรัดเร็วมาก Papillon โจรหนุ่มหล่อถูกยัดข้อหาฆาตกรรมจนต้องถูกส่งตัวไปขังที่ทัณฑสถานนิคมฝรั่งเศส ในเขตเฟรนช์เกียน่า (ตอนเหนือของทวีปอเมริกาใต้) พร้อมกับผองเพื่อนนักโทษอีกหลายร้อยชีวิต ที่นี่ไม่มีทางหลบหนีได้ง่ายๆ นอกจากจะมีผู้คุมถือปืนพร้อมยิงตลอด 24 ชม. แล้ว ภายนอกยังเป็นป่ารกที่มีแต่ภัยร้าย และหากคิดจะล่องเรือหนีไปก็ต้องเผชิญกับมหาสมุทรโหด นอกจากนี้ยังมีกฎบ้าคลั่งอีกหลายประการ อาทิ หากก่อคดีฆาตกรรมจะถูกประหารโดยกิโยติน หากพยายามหลบหนีครั้งที่หนึ่งจะถูกขังเดี่ยว 2 ปี หากพยายามอีกเป็นครั้งที่สองจะถูกขังเดี่ยว 5 ปี แล้วส่งตัวไปขังต่อที่เกาะปีศาจอันไร้ทางหนี และโหดร้ายยิ่งกว่า

ไม่ต้องห่วง หนังมันไม่ได้หดหู่สิ้นหวัง หรือเอาแต่ทรมานทำร้ายจิตใจเราขนาดนั้น เพราะมันถูกหล่อเลี้ยงไว้ด้วยเรื่องราวสายสัมพันธ์ระหว่าง Papillon กับ Louis Dega เศรษฐีหนุ่มที่ติดคุกข้อหาปลอมแปลงพันธบัตร จากจุดเริ่มแรกที่ฝ่ายแรกหวังแค่เงินของฝ่ายหลัง สู่การดูแล ปกป้อง และสานมิตรภาพที่แลกด้วยชีวิตให้กันและกันได้ ก็ต้องให้เครดิตสองนักแสดงที่ประคองหนังและสร้างความน่าเชื่อถือให้กับตัวละครได้อย่างน่าสนใจ แม้ว่ามันจะมีกลิ่นอายหนังฮอลลีวูดจ๋า มากกว่าจะเป็นหนังอินดี้ล่ารางวัลก็ตาม

 

 

Charlie Hunnam ทรงเสน่ห์เหลือเกิน อานุภาพความหล่อของเค้ามันทำให้เรามองข้ามจุดบกพร่องทั้งหลายได้หมดสิ้น และเราก็เชื่อว่าเค้าเองก็ทุ่มเทกับบทนี้ไม่น้อย มันไม่ใช่แค่เรื่องของการเพิ่ม-ลดน้ำหนัก หรือทำตัวให้โทรม แต่มันคือภาวะภายในของตัวละครที่ต้องดำดิ่งลงไปให้ลึก ถึงที่สุดแล้วเราอาจจะไม่เชื่อว่าเค้าได้ลงไปแตะถึงส่วนมืดหม่นที่สุดของ Papillon ก็ตามที ทว่า Rami Malek ในบท Louis Dega ก็ช่วยสนับสนุนส่งเสริมให้ตัวละคร Papillon มีเลือดเนื้อ กลมกล่อม และมีชีวิตชีวา เคมีของ Charlie กับ Rami มันดีมาก ซึ่งถ้าจะพูดกันตามตรง ตัว Rami นั้นเล่นดีกว่า Charlie อยู่แล้ว แต่มันก็ไม่ใช่การแสดงแบบข้าเอาตัวรอดแค่คนเดียว แต่มันพยุงกันไปต่างหาก! นี่อยากเห็น Rami ในบท Freddie Mercury ในหนัง Bohemian Rhapsody จะแย่แล้ว!!

บทสรุปของ Papillon มันทำให้เราคิดถึงเรื่อง “ที่ทางของตัวเอง” อีกครั้ง การแสวงหาความหมายของการมีชีวิตอยู่ อาจจะไม่สำคัญอะไรเลย หากเรายังไม่ค้นพบที่ทางของเราเอง ที่ที่เราพอใจและมีความสุขที่จะอยู่กับมัน ที่ที่เราเลือกแล้วว่าจะอยู่หรือหยุดอยู่ตรงนั้น … แต่มองในอีกแง่หนึ่ง การออกไปโบยบิน เดินทาง หรือร่อนเร่ไปเรื่อยๆ ก็อาจจะเป็น “ที่ทางของตัวเอง” ในอีกความหมายหนึ่งได้เหมือนกัน … บางทีนิยามของบางสิ่งบางอย่างอาจจะใช้ได้กับเราแค่คนเดียวเท่านั้นก็เป็นได้

 

 

หมายเหตุ: หนังสืออัตชีวประวัติชื่อดังของ Henri ‘Papillon’ Charrière นั้นเคยถูกนำมาสร้างเป็นหนังแล้วครั้งนึงในชื่อ Papillon ในปี 1973 กำกับการแสดงโดย Franklin J. Schaffner นำแสดงโดย Steve McQueen ในบท Papillon และ Dustin Hoffman ในบท Louis Dega

Papillon เข้าฉายในโรงภาพยนตร์ 13 กันยายนนี้

 

 

 

 

ขอบคุณเนื้อหาจาก ชีวิตผมก็เหมือนหนัง
ชีวิตผมก็เหมือนหนัง นามปากกาของนักเขียนบทวิจารณ์ภาพยนตร์ ละครเวที และเพลง เจ้าของแฟนเพจ “ชีวิตผมก็เหมือนหนัง” ที่ยังคงเขียนบทวิจารณ์ไปเรื่อยๆ ตราบใดที่ยังเสพงานศิลปะในรูปแบบต่างๆ อยู่เสมอ ติดตามผลงานอื่นๆ ของเขาได้ที่ www.facebook.com/LifeLikeMovies

เรื่องน่าสนใจ