อันที่จริง มีสิทธิ์ที่เราจะเกลียดหรือยี้ The Soul-Mate “คนกับผี คู่เเสบแบบว่าป่วง” ได้ง่ายๆ มากเลยนะ แต่กลายเป็นว่าเรากลับชอบซะอย่างนั้น เพราะทุกอย่างมันบาลานซ์ได้ดีเหลือเกิน ไม่ว่าจะเป็นพล็อตเรื่องยังกะละครไทย ตัวละครน่ารำคาญใจ ความดราม่าชะตากรรมแบบเกาหลี การตัดสินใจของตัวละครที่ทำให้อยากด่า ไปจนถึงนักแสดงที่เลือกมาแบบตั้งใจขาย ทั้งสายตลกและสายหล่อ แต่ก็นั่นแหละ พอทุกอย่างมันพอเหมาะพอดี เราก็ยอม!
เรื่องของตำรวจหนุ่มหล่อแสนดีที่กำลังไขคดีสำคัญแล้ววิญญาณดันหลุดออกจากร่าง จนต้องไปวานให้โค้ชหนุ่มใหญ่หน้าโหดซึ่งมองเห็นเค้าคนเดียวช่วยเหลือ ก่อนที่คนรักของเค้าจะเป็นอันตรายไป ทว่าอิตาโค้ชก็ดันเป็นคนเห็นแก่ตัวแบบสุดๆ ถือคติว่าจะไม่ยุ่งเรื่องของชาวบ้าน อย่างเดียวที่เค้าสนใจคือการดูแลลูกสาวที่กำลังป่วย แล้วอย่างนี้ผีกับคนจะจับมือกันจัดการคนชั่วได้ยังไงล่ะ หนังผสมผสานการเป็นหนังตลกโปกฮา หนังแอ็คชั่นอาชญกรรม และหนังเมโลดราม่าในสัดส่วนที่เข้ากันได้ดี ถึงจะหนักมือฝั่งดราม่าอยู่บ้าง แต่มันก็ไม่ได้ชวนยี้อย่างที่คิด แล้วเราก็ออกจะชอบพาร์ตนี้มากกว่าส่วนอื่นๆ ด้วยซ้ำ
เชื่อว่าเป็นใครก็ต้องกรี๊ด “คิมยองกวาง” พระเอกหนุ่มหล่อผู้แสนดี แม้ตัวละครของเค้าจะสุดโต่งในด้านความดี จนเกินจะเชื่อว่ามีคนแบบนี้บนโลกจริงๆ แต่เราก็เชื่อในตัวละครเพราะแววตาและรอยยิ้มของคิมยองกวางนี่แหละ นั่งดูไปบิดไปตลอดเรื่อง ส่วน “มาดงซ็อก” ที่โด่งดังมาจาก Train to Busan ก็ทำหน้าดีของตัวเองได้ดีไม่ขาดไม่เกิน ทั้งพาร์ตตลกหน้าตายและพาร์ตดราม่าน้ำตาไหล นี่ก็ต้องชื่นชมทั้งนักแสดงและผู้กำกับที่บาลานซ์ได้ดีจริงๆ ไม่อย่างนั้น ถ้ามันเกินไปนิดเดียว เราจะรำคาญตัวละครมากแน่ๆ
ชอบมากที่หนังทำให้เรามองเห็นความสำคัญของการเกื้อกูลกัน มีน้ำใจต่อกัน ช่วยเหลือกัน เพราะเราเป็นคนที่เติบโตมาแบบไม่ชอบพึ่งพาความช่วยเหลือใคร ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเล็กหรือเรื่องใหญ่แค่ไหน เราก็ชอบคิด ชอบทำ และลงมือด้วยตัวเอง จะเรียกว่าหยิ่งทนงในศักดิ์ศรีของตัวเองก็ว่าได้ และในมุมกลับกัน เราก็ไม่ชอบให้ใครมาไหว้วานอะไรเรา จนอาจจะเรียกว่าเห็นแก่ตัวก็ได้เหมือนกัน แต่พอหนังมันโยนสถานการณ์ให้ตัวละครทำอะไรไม่ได้ นอกจากพึ่งพาความช่วยเหลือของคนอื่น จนต้องยอมคุกเข่าอ้อนวอนหรือเปลี่ยนทัศนคติวิธีคิดของตัวเอง มันก็ทำให้เรามองเห็นคุณค่าของน้ำใจที่หล่อเลี้ยงทั้งผู้ให้และผู้รับ อย่างน้อยๆ มันก็ทำให้เราอยากเป็นคนที่ดีขึ้นกว่าเดิมให้ได้
The Soul-Mate เข้าฉายในโรงภาพยนตร์ 10 มกราคมนี้
ขอบคุณเนื้อหาจาก ชีวิตผมก็เหมือนหนัง
ชีวิตผมก็เหมือนหนัง นามปากกาของนักเขียนบทวิจารณ์ภาพยนตร์ ละครเวที และเพลง เจ้าของแฟนเพจ “ชีวิตผมก็เหมือนหนัง” ที่ยังคงเขียนบทวิจารณ์ไปเรื่อยๆ ตราบใดที่ยังเสพงานศิลปะในรูปแบบต่างๆ อยู่เสมอ ติดตามผลงานอื่นๆ ของเขาได้ที่ www.facebook.com/LifeLikeMovies