ห่างหายจากละครไปนานมาก สำหรับ ครูเล็ก ภัทราวดี มีชูธน ที่เจ้าตัวกลับมารับงานละครอีกครั้งกับเรื่อง เลือดข้นคนจาง ที่ตอนนี้เรียกได้ว่าเนื้อเรื่องกำลังเข้มข้น แฟน ๆ ติดกันงอมแงมเลยทีเดียว ล่าสุด ครูเล็กได้มาเปิดใจถึงเรื่องราวต่าง ๆ ผ่านทางรายการ คุยแซ่บShow ทางช่อง ONE31 ที่มีชมพู่ ก่อนบ่าย และท็อป ดารณีนุช เป็นพิธีกร
เหตุผลคืออะไร ทำไมครูเล็กจึงตัดสินใจรับ เลือดข้นคนจาง ?
ครูเล็ก : คือเวลาเราจะทำอะไรกับใครเราต้องมีการถูกใจนะคะ แล้วก็ต้องมีการชื่นชม ครูเนี่ยจะชื่นชมย้ง เห็นว่าเด็กคนนี้ฉลาดนะ เรียกได้ว่าเขาเป็นสมบัติของประเทศเลยนะ เขาเป็นอะไรที่ค่อนข้างน่าสนใจ แล้วเราก็อยากรู้จักเขา อยากทำงานกับเขา อยากจะรู้ว่าเขาคิดยังไง พอเขาติดต่อมาก็เลยตอบตกลง ตอนที่ตอบรับก็ยังไม่ได้อ่านบท เขาก็บอกว่าเล่นเป็นอาม่า เราก็ว่าดีเพราะเกิดมายังไม่เคยเล่นเป็นอาม่า แล้วก็ค่อนข้างน่าสนใจที่เราจะได้มีโอกาสเข้าไปใกล้ชิด “อาม่า” ที่เราควรจะต้องรู้จัก พอเข้าไปคุยกับเขา เราก็สนุก คือความสุขของอาม่าทั้งหมดก็คือลูกหลาน ถ้าเลี้ยงไม่ดีก็จะโตไปเป็นพลเมืองที่ไม่ดีของประเทศ ด้วยตัวบทด้วยอะไรหลาย ๆอย่างทำให้น่าสนใจ
เห็นว่าเล่นยาก ระดับครูเล็กยังต้องหลายเทคเลยจริงไหม ?
ครูเล็ก : ตั้งแต่ฉากแรกเลยค่ะ ผู้กำกับเทค 10 หน แล้วมันเป็นฉากยาว ๆ ด้วยนะ เราก็ไม่เข้าใจ ว่าจะเล่นยังไง ตอนนั้นเราเล่นเหมือนกันหมด เพราะเราก็ไม่รู้ว่าเขาจะยังไง แล้วเราก็ไม่ได้อยู่กับทีวีมานานพอสมควร ต้องบอกว่าโคตรของความเหนื่อยเลย แต่ว่ามันกลับทำให้เราเนี่ยแข็งแรงขึ้น ทั้งจิตใจ ทั้งสมาธิ ทั้งร่างกาย มันเหมือนกับเราได้ยกเวท ได้ปรับอะไรในตัวเอง เราเป็นคนเล่นเราจะไม่เห็น แต่ผู้กำกับเป็นคนดูเขาจะเห็น หรือบางทีเราหันเร็วไป เพราะเรามาจากละครเวที อาม่าก็ต้องหันช้านิดนึง ก็เลยแบบขออีกนิดนึงอะไรประมาณนี้ แต่ที่ร้ายที่สุดคือ มีบทนึงวันนั้นอาม่านอนอย่างเดียว เราก็คิดในใจแล้วว่าวันนี้หวานหมูนะ แต่ปรากฏว่าเทค เพราะว่าหน้าย่น ก็เลยบอกว่าโยมฉัน 70 แล้วนะ ไม่ได้โบท็อกซ์ไม่ได้อะไรนอนยังไงมันก็ต้องย่น เราก็เลยต้องนอนยังไงให้มันดูสบาย ดูผ่อนคลาย นอนแล้วนะสวย อันนี้ต้องขอบคุณย้งจริง ๆ นะ
บทนี้คนละขั้วกับตัวจริงของครูเล็กขนาดไหน ?
ครูเล็ก : จริง ๆ มันก็ไม่ได้ขัดนะคะ แต่ด้วยความที่เราเป็นหญิงทำงาน แล้วเราก็มีสังคม แล้วสังคมของเราก็จะแตกต่างกับอาม่า อย่างอาม่าเนี่ยเขาก็จะสนใจแค่ลูกหลาน คนนู้นเรียนจบอะไร หรือแต่งงานกับใครอย่างนี้ แต่เราเนี่ยจะไม่สนใจเรื่องพวกนั้น ก็จะมองโลกคนละมุมกัน จริง ๆ แล้วการที่เราเข้าไปเป็นตัวละครเนี่ย อะไรก็ตามที่มันไม่ใช่มันจะทำให้เรารอบรู้โลกเยอะมากขึ้น และเข้าใจมนุษย์มากขึ้น ว่ามนุษย์แต่ละคนเขารู้สึกยังไง แล้วเราก็จะไม่โกรธ เหมือนเราเห็นหัวใจเขาอะ เพราะฉะนั้นแล้วการเป็นตัวละครเนี่ยมันจะยิ่งใหญ่ตรงนี้แหละ ไม่ใช่ว่ามาทำงานแล้วเป็นดาราหรืออะไรไม่ใช่นะ มันได้ศึกษาชีวิตมนุษย์ แล้วมันจะทำให้เราเป็นมนุษย์ที่นุ่มลึกขึ้น มีความเมตตา มีความเห็นอกเห็นใจผู้อื่นมาก
ชีวิตจริงของครูเล็กตอนนี้ทำอะไรบ้าง ?
ครูเล็ก : ก็ตอนที่ครูอายุ 60 แม่บอกว่าแก่แล้วให้ทำอะไรเพื่อแผ่นดิน แล้วพอดีเราไปหัวหิน แล้วเขาจะเช่าที่เราทำโรงลิเก เราก็เลยมองดูว่าตรงนี้น่าอยู่จังเลย ก็เลยคิดอยากจะทำโรงละครให้เขาเล่นลิเก พอทำเสร็จลิเกก็วิ่งหนีไปเลย เพราะมันเวอร์วังอลังการเกินไป เขาก็ไม่กล้ามาเล่น เราก็เลยทำเป็นโรงเรียนสอนการแสดง ทำเป็นโรงเรียนประจำ แล้วก็มีการสอนหนังสือ เป็นสามัญศึกษา ไม่ใช่โรงเรียนสอนการแสดงนะ แล้วเราก็จะสร้างเด็ก ๆ โดยใช้ศิลปศาสตร์ทำให้เขาอยากเรียนหนังสือ ใช้ศิลปศาสตร์ทำให้เขามองเห็นมุมต่าง ๆ ของการมองโลกมนุษย์ แล้วก็สอนให้เขารู้ว่าวิชาที่เขาเรียนสามารถนำเอามาใช้ในการดำรงชีวิตอย่างไร ตอนนี้ก็ผลิตไป 4-5 รุ่นแล้วค่ะ
ก่อนที่จะมาถึงความสำเร็จด้วยวันนี้ “ครูเล็ก” เคยคิดฆ่าตัวตายจริงไหม ?
ครูเล็ก : ถ้าตายเสียดายแย่เลย คือเป็นโรคซึมเศร้าค่ะ เราไม่เคยรู้ว่ามันเกิดจากอะไร แต่ตอนนั้นที่เราเป็นเราเลยรู้ว่ามันเกิดจากการที่เราทำแต่งาน แล้วไม่เคยโผล่หน้าไปดูหนัง หรือดูละคร หรือไปฟังเพลงอะไรเลย พอทำแต่งานเนี่ยสิ่งที่เรามีอยู่มันถูกรีดไถออกไปหมด แบบไม่เหลืออะไร แล้วเราก็คิดอะไรไม่ออก เราก็เลยยิ่งเครียด พอเครียดมาก ๆ ก็กลายเป็นโรคซึมเศร้า แล้วเราก็ไม่เคยคิดว่าวันหนึ่งเราจะคิดอะไรไม่ออก แล้วเราก็โกรธมากที่คิดอะไรไม่ออก ก็พยายามทำงาน แล้วเราก็ป่วยอยู่เป็นปี แล้วก็อยากจะหนีทุกข์ อยากหลับ ต้องบอกว่าคนเป็นทุกข์ก็อยากจะหนีทุกข์ แล้วก็หนีทุกข์ด้วยการกินยานอนหลับ ตอนแรกแค่เม็ดสองเม็ด ผ่านไปก็ 5 เม็ด 10 เม็ด คือกินเป็นอาหารเย็นไปเลย แต่มันก็ดีนะที่ยังไม่ตาย
แล้วหายจากโรคซึมเศร้าได้ยังไง ?
ครูเล็ก : ก็ยังโชคดีที่ตอนนั้นเราไปเจอเพื่อนคือ “คุณจรัญ” ซึ่งเป็นผู้จัดการของวง Impossible สมัยก่อนนี้ เขาบอกว่าเขาไปนั่งสมาธิ เขาก็แนะนำเราไป แบบใช้ธรรมะเข้าช่วย ตอนนั้นมีความรู้สึกว่าอะไรก็ได้ที่ฉันจะหาย เพราะว่าเรามีความรู้สึกว่า การที่เราเป็นแบบนี้มันน่ารำคาญตัวเอง เวลาเราไปคุยกับใครก็จะเห็นเขาวิ่งหนีไปเลย เพื่อน ๆ ก็จะหนีหมดนะ เหลือแต่แบงค์ที่มาเยี่ยมเรา เพราะเราเป็นหนี้เขาไง ก็ไปปฏิบัติอยู่พักหนึ่ง แล้วก็กลับมาบ้านเราก็ยิ้ม คนรอบข้างก็ทัก เราก็คิดว่ามันน่าจะดีนะ หลังจากนั้นเราก็เลยไปนั่งสมาธิบ่อย ๆ การนั่งสมาธิคือการปล่อยวางเหมือนลบเทป เหมือนบ้านสกปรกล้างให้สะอาด พอเสร็จแล้วเราก็ต้องไปนั่งฟังธรรม หรืออ่านหนังสือ หรือไปคุยกับคนที่เขามีความรู้ตรงนี้ เวลาที่เราคุยกับคนที่มีสติปัญญาความรู้ มันดีจังเลยนะ มันสนุก แล้วเราก็เริ่มคิดอะไรได้ เริ่มวิเคราะห์ เริ่มเข้าใจอะไรต่าง ๆ เพราะฉะนั้นเวลาที่เราเป็นทุกข์ขึ้นมา เราก็ต้องมองที่ตัวทุกข์ แล้วเราจะเข้าใจมัน
อยากรู้ว่า ครูเล็ก มีนิยามการใช้ชีวิตยังไง ?
ครูเล็ก : ชีวิตเราเนี่ยนะ ไปจนกว่าจะตาย เราจะต้องมีการพัฒนาตัวเองทุกวัน การพัฒนาตัวเองเนี่ยมันง่ายมากเลยก็คือการดู หรือฟัง ดูทีวี ดูหมากัดกัน (หัวเราะ) ฟังคนเขานินทากันก็ได้ แต่พอฟังแล้วดูแล้วเนี่ย จะต้องคิด วิเคราะห์ เพื่อที่จะเข้าใจจุดนั้น พอเข้าใจแล้ว ปัญญาเกิด เข้าใจสมองดีมันก็อยู่แล้วแฮปปี้เท่านั้นเอง ครูไม่เคยหยุดที่จะเรียนรู้ แต่เรียนรู้เพื่อจะเกิดปัญญา ไม่ใช่เรียนรู้เพื่อจะรับรู้ค่ะ
ติดตามรายการ คุยแซ่บShow ได้ทุกวันจันทร์-ศุกร์ 14.00-15.00น. ทางช่อง one31 Facebook Page : คุยแซ่บShow รับชมย้อนหลังได้ที่ Youtube Channel : Orange Mama