เกริ่นนำโดย โดดเด่นดอทคอม
ช่วงนี้เหล่าบัณฑิต มหาบัณฑิต และดุษฎีบัณฑิต ของมหาวิทยาลัยรามคำแหง กำลังเข้ารับพระราชทานปริญญาบัตรกันอย่างปลื้มปริ่ม สร้างความภาคภูมิใจให้กับตัวเองและครอบครัวไม่น้อย ถือเป็นความสำเร็จอีกก้าวของชีวิตเลยนะครับ โดดเด่นก็ขอแสดงความยินดีกับความสำเร็จของทุกๆคนด้วยนะครับ วันนี้โดดเด่นมีหนุ่มบัณฑิตคนนึงมานำเสนอครับ ซึ่งเขาได้แชร์ผ่าน Facebook “รัฐศาสตร์ รามคำแหงรุ่นที่ 40” ถึงเรื่องราวของชีวิตหลังใบปริญญาที่ได้มาอย่างยากลำบาก และใช้ความมุ่งมั่นอย่างแรงสูงของ “คุณอาณัติ มานพ” นิติศาสตร์บัณฑิต รุ่น 40 เปิดเผยถึงชีวิตที่ลำบากเคยเป็นยาม และทำงานมาแล้วหลากหลายอาชีพ แต่ในที่สุดก็สามารถคว้าปริญญาตามฝันและเข้ารับพระราชทานปริญญาบัตรในสาขานิติศาสตรบัณฑิตในปีนี้ได้สำเร็จ ..บางทีเรื่องราวของคุณอาณัติ อาจจะเป็นกำลังใจให้กับหลายๆคนได้นะครับ
ครอบครัวมีปัญหา พ่อกับแม่แยกทางกันตั้งแต่ยังแบเบาะ ตอนเด็กๆ แม่ทำงานก่อสร้าง พอหลังเลิกเรียนช่วงค่ำๆ ผมกับแม่จะไปเดินขายมะม่วงตามบาร์ที่พัทยา
พอโตขึ้นหน่อยผมก็ไปทำงานร้านขายของส่งได้วันละ 50 บาท แต่ช่วงปิดเทอมแม่จะให้ไปบวชเณรภาคฤดูร้อนทุกปีเพื่อประหยัดค่าใช้จ่ายและเรียนทางธรรมไปด้วย พอขึ้นมัธยมผมก็ไปทำงานเซเว่นหลังเลิกเรียน ได้ชั่วโมงละ 25 บาท หลังจากจบมัธยมปลายก็ไม่ได้แอดมิสชั่นเข้ามหาวิทยาลัยที่ไหนเลย เพราะค่าใช้จ่ายสูง จึงมาสมัครเรียนที่มหาวิทยาลัยรามคำแหง แต่ไม่รู้จะเรียนคณะอะไรดี จึงตัดสินใจเลือกคณะนิติศาสตร์ เพราะทำอาชีพได้หลากหลาย
ระหว่างนั้นผมทำงานเป็นยาม เข้างาน 1 ทุ่ม เลิก 6 โมงเช้า ระหว่างทำงานก็แอบเอาหนังสือไปอ่านด้วย ต้องแอบอ่านเพราะเจ้านายเป็นชาวต่าวชาติไม่ชอบให้ทำเรื่องส่วนตัวเวลางาน ผมไม่เคยได้เข้าเรียนเลย ปกติจะซื้อตำราจากสำนักพิมพ์มาอ่านเพราะราคาถูกกว่าชีทหน้ารามมาก ประหยัดค่าใช้จ่ายได้เยอะ เล่มนึงก็ประมาณ 50-70 บาท ผมไม่ได้เรียนเพื่อจะสอบให้ผ่านเท่านั้น แต่อ่านเพื่อต้องการความรู้จริงๆ
ถ้าวันไหนมีสอบ พอเลิกงานผมก็รีบขึ้นรถโดยสารจากพัทยามารามฯ ทันที ระยะทาง 120 กิโลเมตร มาสายแค่ 5 นาทีก็ไม่ได้เข้าห้องสอบแล้ว เสียค่ารถฟรีๆ วันนึงสามร้อยกว่าบาท เงินเดือนแค่ 7,500 บาทเอง ถ้าวันไหนมีสอบบ่ายจะเป็นวันที่ทรมานที่สุดเพราะต้องอดนอนข้ามวันข้ามคืน สมองล้ามากๆ พอสอบเสร็จก็ต้องรีบนั่งรถกลับมาทำงานต่อ ถ้ามาช้าก็โดนหักเงินเดือนอีก
สุดท้ายผมโดนไล่ออกจากงานเพราะเอาหนังสือมาอ่าน ชาวต่างชาติเขาต้องการยามมืออาชีพที่รักษาความปลอดภัยไม่ใช่มานั่งอ่านหนังสือ ท้อมากครับเหนื่อยจนร้องไห้ พยายามบอกตัวเองว่าโชคชะตากำลังพิสูจน์ตัวเราอยู่ “จะเป็นผู้นำที่ดีได้ ต้องเป็นผู้ตามที่ดีมาก่อน คือเรียนรู้จากจุดที่ต่ำที่สุดมาก่อน” เวลาท้อมองคนที่เขาลำบากกว่า ผมเห็นยายแก่ๆเดินคุ้ยถังขยะมาขายประทังชีวิต ชีวิตเขาลำบากกว่าเรามาก ผมเชื่อเรื่องบาปบุญเพราะบวชมาตั้งแต่เด็กใกล้ชิดกับพระพุทธศาสนามาตลอด พยายามทำแต่กรรมดีเพื่อให้สุขภาพจิตดีขึ้นและต้องการหลุดพ้นจากความทุกข์ใจ
หลังจากโดนไล่ออกจากยามผมก็ไม่ได้ไปสอบที่รามฯ อีกเลย 1 ปีเต็มๆ ที่ขาดสอบ หลังจากนั้นผมก็ไปทำงานอื่นอีกหลายที่ เช่น ผู้ช่วยทันตแพทย์ประจำโรงพยาบาล ผู้ช่วยฝ่ายบุคคล คนงานทั่วไปของเทศบาล จนกระทั่งผมเรียนจบในภาค 1/56 ทันทีที่ผมจบก็มุ่งสอบหางานนิติกรตามสถานที่ราชการต่างๆ เพราะมีวันหยุดเสาร์อาทิตย์จะได้มีเวลาอ่านหนังสือมากขึ้น ปัจจุบันผมทำงานเป็นนิติกร โครงการจัดทำแบบกฎหมายและวิเคราะห์แบบกฎหมาย สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ขอบคุณมหาวิทยาลัยรามคำแหงที่ให้โอกาสทางการศึกษาแก่คนที่ไม่มีโอกาส เพียงหน่วยกิตละ 25 บาท สามารถเปลี่ยนชีวิตคนได้ เป็นดังคำว่า “เปลวเทียวให้แสง รามคำแหงให้ทาง” จริงๆ
อาณัติ มานพ
นิติศาสตร์บัณฑิต รุ่น 40