(5 พ.ย.) เมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา ขณะที่ ร.ต.อ.วุฒิกรณ์ ปลอดโปร่ง รองสวป. สภ.เมืองพัทยา จ.ชลบุรี นำกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจสายตรวจและตำรวจอาสา ตั้งด่านป้องกันเหตุตรวจค้นสิ่งของผิดกฎหมาย และทำการตรวจวัดระดับแอลกฮอล์ในร่างกายของผู้ขับขี่ บริเวณถนนย่านพัทยากลาง สามารถจับกุมผู้ที่มีสารเสพติดและผู้ที่มีระดับแอลกอฮอล์ในร่างกายจำนวนหลายราย
กระทั่งต่อมาเจ้าหน้าที่พบรถเก๋ง มาสด้า สีขาว ขับเข้ามาก่อนถึงด่านตรวจและจอดนิ่ง เจ้าหน้าที่พบว่ามีพิรุธ จึงนำกำลังลังไปตรวจสอบ พร้อมได้เชิญตัวคนขับทราบชื่อคือ นายปานฟ้า อายุ 36 ปี มาทำการเป่าวัดระดับแอลกอฮอล์ แต่ นายปานฟ้า เกิดอาการวีนเหวี่ยง ไม่ยอมให้เจ้าหน้าที่ตรวจวัดระดับแอลกอฮอล์ แต่ได้ยอมรับว่าดื่มมา
นายปานฟ้า ให้การว่า ทำงานของบริษัทแห่งหนึ่งอยู่ที่กรุงเทพฯ มาเที่ยวพัทยากับกลุ่มเพื่อน หลังเที่ยวเสร็จจะพากันกลับไปที่พัก ขับมาก็เห็นด่านตำรวจจึงขับจอดข้างทาง ระหว่างที่จอดมีตำรวจเห็นจึงเดินมาหา แล้วจะนำตนไปเป่าวัดแอลกอฮอล์ แต่สาเหตุที่ตนไม่ยอม เพราะกลางเดือนที่ผ่านมาตนเคยถูกตำรวจ สภ.เมืองพัทยา จับมาแล้วครั้งหนึ่ง
ทั้งนี้ นายปานฟ้า ยังระบายความอัดแน่นในใจและเปิดโปงหลังเคยถูกจับเป่าวัดแอลกอฮอล์มาแล้วว่า ระหว่างที่อยู่ในห้องขัง สภ.เมืองพัทยา ได้มีกลุ่มนายประกันมาติดต่อเรียกค่าวิ่งเต้น ราคา 30,000 บาท โดยอ้างว่าจะไม่ต้องส่งฟ้องศาล แต่ตอนนั้นตนไม่มีเงิน
จากนั้นมีเจ้าหน้าที่ตำรวจบอกว่าต้องเสียค่าส่งศาลด่วน จำนวน 6,000 บาท ค่าพิมพ์รายนิ้วมือ คนละ 500 บาท อยากจะสูบบุหรี่ต้องให้เงินตำรวจไปซื้ออีก 200 บาท อยากจะนำบุหรี่เข้าไปสูบ ก็ต้องเสียอีกตัวละ 200 บาท
ระหว่างที่อยู่ในห้องขังเพื่อรอตำรวจนำตัวไปขึ้นศาลตัดสิน ถ้าอยากจะออกมาอยู่ในห้องแอร์ต้องเสีย คนละ 200 บาท ตนต้องเสียเงินรวมทั้งหมด 12,000 บาท ไม่รวมค่าเสียค่าปรับที่ศาล
เหตุการณ์ครั้งล่าสุดนี้จึงทำให้ตนกลัวกับการกระทำของกลุ่มอาชีพที่หากินบนโรงพัก จึงได้จอดรถหลบก่อนถึงด่านตรวจ แต่ทางด้านเจ้าหน้าที่ตำรวจไม่สนใจจึงได้นำเครื่องเป่าวัดแอลกอฮอล์ มาทำการเป่าวัดระดับแอลกอฮอล์ในร่างกาย นายปานฟ้า พบแอลกอฮอล์ในร่างกาย 108 มิลลิกรัมเปอร์เซ็น จึงนำตัวทั้งหมดส่งร้อยเวรดำเนินคดีตามกฎหมาย