เรียบเรียงโดย โดดเด่นดอทคอม
ภาพจาก พันทิป
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าสมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอมได้ตั้งกระทู้หัวข้อว่า “แชร์ประสบการณ์อันเลวร้ายจากการใช้บริการธนาคารกรุงเทพ สาขาเยาวราช”
โดยมีเนื้อหาในกระทู้ว่า “สวัสดีครับ เพื่อนๆ ชาว Pantip ผมมีเรื่องอยากจะแบ่งปัน และระบายให้ทุกท่านได้ฟัง เกี่ยวกับระบบการทำงานของพนักงานธนาคารกรุงเทพ ที่สาขาเยาวราชครับ
เมื่อวันที่ 25 มี.ค. ที่ผ่านมา เวลาประมาณ 11 โมงเศษ ทางผมได้นำเงินสดจำนวน 26,000 บาท เพื่อจะชำระจ่ายบัตรเครดิต
โดยผมได้ไปที่เคาน์เตอร์เพื่อจะเขียนฟอร์มการจ่าย โดยที่มีพนักงานต้อนรับ เป็นคนเขียนให้ ซึ่งก็ได้สอบถามแล้วได้ตอบไปว่า ต้องการจ่ายค่าบัตรเครดิต 26,000 บาท
ซึ่งผมได้นับเงินและได้ยื่นที่เคาน์เตอร์ตามปกติ และได้รับสำเนาใบรับชำระเงิน จำนวนเงิน 26,000 บาท ถูกต้องครบถ้วน และได้ออกจากแบงค์เพื่อกลับเข้าทำงานปกติ
หลังจากนั้นช่วงเวลา บ่ายๆ ทางธนาคารได้โทรมา แจ้งว่าเกิดการผิดพลาด เรื่องของการรับเงินชำระค่าบัตรเครดิต ซึ่งปรากฎว่าเงินหายไป 10,000 บาท แล้วสอบถามทางผมว่า ได้มีการจ่ายเงินตามจำนวน 26,000 บาท หรือมีการชำระจริงตามนี้หรือไม่
ซึ่งผมก็ยืนยันกลับไปว่า มีการชำระจริง แล้วเงินที่มีอยู่ก็จ่ายให้ครบไปแล้ว ไม่มีการจ่ายผิดแน่นอน เพราะเงินตั้ง 10,000 บาท จะขาดไปได้อย่างไร ซึ่งพนักงานก็โอเค จะขอตรวจสอบข้อมูลใหม่
จากนั้นในช่วงเวลาประมาณ ห้าโมงกว่า ซึ่งเป็นเวลาเลิกงานแล้ว ทางแบงค์ก็โทรมา ทีนี้เป็นผู้จัดการสาขาเยาวราช โทรมา แล้วอธิบายว่า ได้ตรวจเช็คข้อมูลอย่างละเอียดแล้ว คือเช็คกับกล้องวงจรปิดว่าทางผมได้ให้เงินเพียง 16,000 บาท
โดยที่ดูกล้องวงจรปิดว่าทางพนักงานได้รับเงินเท่านี้จริงๆ อยากให้ทางผมเข้าไปดูกล้องวงจรปิดด้วยกัน และจะมีเจ้าหน้าที่ตำรวจดูด้วยกันเพื่อยืนยันด้วย ทางผมแจ้งว่าไม่สะดวก
เพราะอยู่ข้างนอกแล้ว ทำไมต้องกลับไปตอนนี้ ทางแบงค์แจ้งว่า ยอด 10,000 บาท มันไม่สามารถปิดระบบได้ จะต้องแจ้งกับทางสำนักงานใหญ่ ว่าเกิดเหตุอะไรขึ้น ซึ่งทางผมได้แย้งกลับไปว่า จำนวนเงิน 26,000 บาท เป็นจำนวนเงินที่ไม่มาก
ทำไมพนักงานถึงแจ้งว่านับไม่ครบ ทางแบงค์แจ้งว่ายอมรับพนักงานสะเพร่า คือ นับเงินแล้วเก็บเข้าเก๊ะ โดยที่ยังไม่ทวนสอบกับใบรับชำระเงินว่าตรงกันหรือไม่
ตรงนี้ผมเลยแย้งไปว่า ถ้าไม่ครบ คุณควรจะแย้งตั้งแต่แรก จะต้องตรวจสอบยอดเงินว่าตรงกับใบรับชำระเงินหรือไม่ เพราะถ้าไม่ตรงก็ต้องแย้งมาทันที ไม่ใช่จบขบวนการแล้ว ถึงจะมารู้ทีหลัง คือ ทางแบงค์ก็พยายามจะแจ้งว่า ดูกล้องวงจรปิดหลายครั้งแล้วว่ารับเงินเราไม่ครบจริงๆ ทำให้ไม่สามารถเคลียร์ยอดปิดบัญชีของวันนี้ได้
ทางผมเลยแจ้งไปว่า สะดวกเป็นวันรุ่งขึ้น หรือวันที่ 26 มี.ค. ทางผมจะเข้าไป โดยระหว่างนี้ผมเอะใจ เลยเช็คยอดบัญชีบัตรเครดิต ยังมียอดครบตามจำนวนเงินที่ผมจ่ายไป คือ 26,000 บาท
พอในวันรุ่งขึ้นตอนเช้า ผมได้เช็คอีกรอบ ปรากฎว่า เงินในบัตรเครดิตผมหายไป 10,000 บาทแล้ว ทำให้ผมมั่นใจแล้วว่า ธนาคารทำการตัดเงินผมออก ผมสอบถามเหตุผลกับทางธนาคาร ซึ่งได้คำตอบว่า มีการแจ้งว่าชำระ 16,000 บาท ไม่ใช่ 26,000 บาท ซึ่งเป็นยอดที่ทางสาขาแจ้งมา
นั่นแสดงว่า ทางธนาคารดำเนินการโดยที่ไม่แจ้งให้ผมทราบ และยังไม่มีการพิสูจน์ ซึ่งทำให้ผมรู้สึกว่า เป็นการกระทำที่ไม่ให้เกียรติลูกค้าอย่างมาก ซึ่งผมก็ได้นัดกันแล้วว่าจะเข้าไปพูดคุยกัน แต่ทำการตัดเงินผมออก ก็เท่ากับว่า ผมจ่ายแค่ 16,000 บาท จริงๆ
เมื่อไปถึงสาขาเยาวราช ทางพนักงาน ที่เป็นหัวหน้าของคนรับเงินผม ได้พูดคุยอธิบาย ซึ่งผมได้แย้งว่า โดยปกติแล้ว ทางธนาคารจะต้องตรวจสอบยอดเงินในการชำระทุกครั้งก่อนที่จะออกใบรับชำระเงินพร้อมเซ็นต์ตราประทับจากธนาคาร
ซึ่งถือว่าเป็นการชำระเงินที่ครบถ้วนถูกต้องตามกฎหมาย แล้วยอดเงินที่ชำระไม่ใช่เงินเป็นแสนเป็นล้าน ที่จะเกิดความผิดพลาดง่ายๆแบบนี้ ทางพนักงานคนดังกล่าว ก็อ้างโน่นอ้างนี่ว่าเคสแบบนี้เคยเกิดขึ้นบ่อย ทั้งเงินขาด เคยนับลูกค้าเงินเกิน ก็มีการส่งคืน
ซึ่งผมไม่สนใจที่จะฟังเคสของใคร เพราะปัญหาคือ คุณได้ตัดเงินผมออกไปแล้ว 10,000 บาท พูดง่ายๆคือ คุณยึดเงินผมแล้ว ทางพนักงานก็ยืนยันว่า ดูจากกล้องวงจรปิดแล้ว ได้เงินแค่ 16,000 จริงๆ
ซึ่งก็อยากให้ทางผมเข้าไปดูกล้องวงจรปิด ผมก็โอเคดูก็ได้ เพราะผลออกมาเป็นอย่างไร คุณก็คิดว่าคุณถูก และก็ได้มีการเรียกตำรวจประจำสาขา ซึ่งเป็นผู้หมวดมาเป็นพยานด้วย
แต่สิ่งที่ผมรับไม่ได้คือ ตำรวจผู้นี้ ทางพนักงานเรียกว่า ป๋า ซึ่งถือว่าสนิทกับพนักงานพอสมควร แล้วพูดกับผมว่าในฐานะที่เป็นคนกลาง ก็บอกผมว่าเรื่องแบบนี้เกิดข้อผิดพลาดกันได้
ถ้ากล้องวงจรปิดยืนยันแล้วว่า ทางผมจ่ายแค่ 16,000 บาทจริงๆ ก็ต้องว่าตามหลักฐาน อยากให้เห็นใจพนักงาน ซึ่งผมรู้สึกว่าตำรวจท่านนี้ เอนเอียงไปทางธนาคารอย่างชัดเจน
เมื่อตัดสินใจเข้าไปดูโทรทัศน์วงจรปิด ผลปรากฎว่า จุดที่สำหรับเขียนแบบฟอร์ม กล้องไม่สามารถซูมถึงได้ เพราะเป็นจุดที่ผมนับเงิน และกำลังจะเขียน แต่มีพนักงานมาเขียนให้ ผมจึงนับเงินตรงจุดนั้น แล้วได้ยื่นไปที่เคาน์เตอร์ ซึ่งกล้องก็จับไปที่เคาน์เตอร์ โดยที่เห็นผมยื่นเงินกับพนักงานชัดเจน “ประเด็นอยู่ตรงนี้ครับ”
ในช่วงที่พนักงานนับเงิน กล้องจับได้เฉพาะการนับเงิน แต่ไม่ได้ซูมให้เห็นจำนวนเงิน แต่ทางธนาคาร ใช้วิธีการสโลว์ภาพ ในการจับภาพที่พนักงานใช้มือในการนับเงิน ซึ่งสโลว์ภาพแล้วอ้างว่า นับเงินได้ 10,000 บาท แล้วแยกเก็บ
และมานับเงินที่เหลือได้อีก 6,000 บาท เป็นจำนวน 16,000 บาท ซึ่งผมก็แย้งว่า ยังไงๆ มันก็ไม่ชัดเจน เพราะไม่ได้ซูมที่ตัวเงิน ทางพนักงานก็ให้ผมดูภาพใกล้ๆชัดๆ ผมก็รู้สึกโมโหเข้าไปอีก เพราะจะดูใกล้ตาติดจอแค่ไหน มันก็คืออย่างที่เห็น เพราะคุณใช้วิธีสโลว์
สรุปทางพนักงานได้แต่ขอโทษ แต่ผมแจ้งว่า คุณขอโทษ แล้วรับผิดชอบอะไร เงินผมหายไป 10,000 บาท คุณล็อกไว้เลย พวกคุณทำทุกอย่างหมดแล้ว ผมจะทำอะไรได้ พนักงานก็ได้แต่ขอโทษ มีอยู่แค่นี้
สุดท้ายก็บอกว่า ถ้าทางผมไม่พอใจและยืนยันจริงๆ ก็สามารถแจ้งความได้ แต่ยังไงตำรวจก็ต้องดูหลักฐานทางกล้องวงจรปิด ถ้าพิสูจน์ว่านับถูกจริง ก็จะกลายเป็นเรื่องใหญ่ กลายเป็นคดีอาญา ซึ่งจะทำให้ผมกลายเป็นแจ้งความเท็จ ทางตำรวจที่ประจำสาขา ก็เห็นด้วย
นั่นเท่ากับว่า แค่พวกคุณทั้งพนักงานทั้งตำรวจ รวมหัวตั้งท่าไว้แล้ว ผมก็แจ้งไปว่า ถ้าแจ้งความเป็นคดี พวกคุณได้เปรียบ แต่ผมแค่ค่าจ้างทนายก็ไม่คุ้มเงิน 10,000 บาทแล้ว ยังไงก็ปัดสวะมาที่ผมใช่หรือไม่ ทางพนักงานก็แจ้งว่าไม่ได้ว่าผมโกง
แต่ว่าด้วยตามหลักฐานภาพวงจรปิด ซึ่งทางผมก็มีสิทธิที่จะร้องเรียนได้ทั้งสำนักงานใหญ่ หรือว่าแจ้งความ ส่วนเงินที่ถูกตัดไป 10,000 บาท ทางพนักงานเองแจ้งว่าก็ได้ปรึกษาฝ่ายกฎหมายที่สำนักงานผมใหญ่เหมือนกัน ถึงดำเนินการได้ เพราะถ้าสาขาดำเนินการเอง ก็มีความผิดถูกไล่ออก
สรุปก็คือ ผมโดนหักเงินไปแล้วนั่นแหล่ะ ทำอะไรไม่ได้ แจ้งความถ้าตำรวจตีความว่าธนาคารถูก ผมก็กลายเป็นผิดแจ้งความเท็จอีก
สรุปคือ พวกคุณบีบผมว่ายังไงก็ต้องยอมรับ แถมมีตำรวจสาขาคอยหนุนหลัง ซึ่งผมดูแล้วก็ไม่มีประโยชน์ที่จะคุยต่อ แล้วก็บอกทิ้งท้ายว่า ยังไงผมก็ไม่โอเค ผมเหมือนถูกเอาเปรียบ แล้วก็ออกมา พนักงานก็ได้แต่ขอโทษอย่างเดียว เท่านั้น
จากนั้นผมได้แจ้งศูนย์บัตรเครดิต กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ซึ่งผมไม่โอเค กับบทสรุปที่ได้ เพราะผมเหมือนถูกยึดเงินไปฟรีๆ 10,000 บาท แล้วได้แจ้งเหตุการณ์ทั้งหมด ทางศูนย์บัตรเครดิต จึงให้ผมสำเนาหลักฐานการจ่ายเงินที่มียอด 26,000 บาท แฟกซ์ไปให้ แล้วยืนยันว่าได้จ่ายยอด 26,000 บาทแล้วจริงๆ แล้วทางศูนย์จะดำเนินการตรวจสอบให้
เมื่อผมแฟ็กซ์ไปแล้ว ก็ได้มีพนักงานจากศูนย์โทรกลับมา ซึ่งทางเค้าก็แจ้งว่าได้ทวนสอบกับทางสาขาแล้ว ว่า ได้เงิน 16,000 บาทเท่านั้น ผมได้แย้งไปว่า ก็ผมเพิ่งคุยกับทางสาขามาแล้ว เค้าก็ต้องยืนยันแบบนั้น แต่ผมไม่โอเค
ผมถึงแจ้งให้คุณตรวจสอบอีก เพราะผมโดนหักเงินไปแล้ว 10,000 บาท ทางพนักงานก็ได้ถามผมว่า แล้วก่อนที่จะถูกหักเงิน ทางสาขาได้แจ้งหรือไม่ ว่าจะต้องขอหักก่อน ผมตอบว่า ไม่ได้แจ้ง เพราะผมเช็คแล้วว่ายอดเงินยังอยู่ครับ แต่พอตอนเช้าของอีกวัน เงินผมหายไปแล้ว 10,000 บาท ทางพนักงานก็ได้แต่ขอโทษแทนสาขาด้วย
เพราะยังไงต้องบอกให้ผมรับทราบก่อน แต่ทางสาขาก็ยืนยันจากกล้องวงจรปิด ว่าได้รับเงินแค่ 16,000 บาท ผมเลยบอกว่าสรุปผมก็คือไม่ได้อะไรอยู่ดีใช่ไหม เพราะผมไม่ยอมรับกับเรื่องนี้ เงินตั้งหมื่น คุณเอาไปแล้ว สรุปแค่นี้เองเหรอ
ทางพนักงานแจ้งว่า สามารถที่จะไปเขียนคำร้องที่สาขาได้ หากลูกค้าไม่ยอมรับกับเรื่องนี้ ผมแจ้งไปว่า ไม่เห็นสาขาจะบอกเลยว่า สามารถเขียนคำร้องได้ มีแต่บอกให้แจ้งความได้ แล้วทำมาพูดดี แต่แฝงด้วยคำขู่ว่า ถ้าตำรวจตรวจสอบกล้องวงจรปิด แล้วสาขาเป็นฝ่ายถูก ก็กลายเป็นว่าผมมีความผิด
แถมตำรวจที่สาขาก็เข้าข้างกันอย่างน่าเกลียด แล้วผมก็ไม่อยากไปเหยียบที่สาขานี้อีก คุณยังจะให้ผมไปเขียนคำร้อง แล้วจะรู้ได้ไงว่าสาขาจะส่งคำร้องผมไปที่สำนักงานใหญ่
เพราะสาขาก็คิดว่าตัวเองถูก ผมแจ้งไปว่า ผมจะขอทำจดหมายร้องเรียนอย่างเป็นทางการ ถึงสำนักงานใหญ่เลยแล้วกัน ทางพนักงานแจ้งว่า จะแจ้งกลับว่าจะแก้ไขให้อย่างไร
ทางพนักงานจากศูนย์โทรมาแจ้งว่า จะทำการยื่นคำร้องให้ไปที่สำนักงานใหญ่เลย ให้ทางผมรอผลว่าจะสรุปออกมาอย่างไร
หลังจากนั้นผมก็มา Post ที่ Pantip ทันทีครับ เพราะบอกตามตรงว่าความหวังที่จะได้เงินคืน เลือนลางเหลือเกิน เพราะสถานการณ์จากที่บอก ผมเหมือนโดนเอาเปรียบ แล้วเหมือนโดนมัดมือชกครับ สิ่งที่ผมอยากจะระบายสรุป
มีดังนี้ 1. พนักงานเมื่อรับเงินแล้ว ต้องมีการตรวจนับจากใบรับชำระเงินทุกครั้งก่อนที่จะทำการพิมพ์เข้าคอม และประทับตราเซ็นต์รับ เพราะนั่นเท่ากับว่า มีการชำระหนี้ถูกต้องแล้ว ถ้าเงินแค่ 26,000 คุณยังพลาด แล้วถ้าเงินเป็นแสนเป็นล้าน จะเดือดร้อนแค่ไหน
แล้วอ้างว่าเคสแบบนี้เกิดบ่อย ทั้งนับขาดนับเกิน ก็หาทางออกด้วยกล้องวงจรปิด ถ้าคิดและทำได้แค่นี้ แนะนำว่าลาออกเถอะครับ เพราะงานที่เกี่ยวกับเงิน ต้องมีความละเอียดรอบคอบ ถ้าคุณบอกว่าเกิดบ่อย ผมคิดว่าลูกค้าส่วนใหญ่ คงไม่บ้าเอาเงินไปฝาก หรือไปชำระหนี้กับคุณหรอกครับ ถือว่าทำงานโคตรชุ่ยครับ แล้วธนาคารจะให้คนแบบนี้นั่งลอยหน้าลอยตาทำงานอยู่อีกเหรอครับ
2. โทรทัศน์วงจรปิด บอกโฟกัสแต่หน้าเค้าน์เตอร์ แล้วจุดที่ลูกค้าเขียนสลิป ทำไมไม่มีกล้องครับ ตามหลักแล้วต้องมีกล้องทุกจุดสิครับ เมื่อคุณอ้างได้ว่าพนักงานนับเงินเท่าไหร่ ในทางกลับกัน ก็ควรจะมีกล้องเห็นผมด้วยว่านับเงินเท่าไหร่เช่นกัน เพราะผมก็นับเงินก่อนที่จะให้คุณ
แต่ไม่ได้นับตรงเค้าน์เตอร์ที่คุณนั่งประจำแค่นั้นเอง เพราะผมถือว่าผมนับครบแล้ว แต่สรุปกล้องไม่มีตรงจุดที่ผมนับเงิน อ้างว่าไม่มีกล้องจุดนั้น และกล้องซูมไม่ถึง เห็นแค่แขนผมครับ
3. ตำรวจปากบอกเป็นกลาง แต่การกระทำไม่เป็นกลางเลยครับ พยายามให้ผมจบ คิดว่ามันเป็นเหตุที่พลาดกันได้ แต่นี่เงินผมครับ ตั้ง 10,000 บาท ถ้าคุณสงสารแต่พนักงานแบงค์มากกว่าคนมาใช้บริการ ก็อย่าเข้ามายุ่งเรื่องนี้ครับ เพราะคุณเป็นพวกเดียวกัน
4. พนักงานพูดดี แต่แฝงคำขู่ หากไม่เป็นตามที่ผมยืนยัน ก็จะเป็นเรื่องใหญ่ เป็นคดีอาญา เอาตรงๆเลย คือ หมายความว่า ถ้าผมแจ้งความเสียทั้งเวลา เงินก็ไม่ได้คืน แถมจะโดนคดีอาญาอีก เงิน 10,000 บาท อย่างที่บอก ฟ้องมันไม่คุ้มครับ แต่พวกคุณคือ ธนาคาร ผมเป็นแค่คนธรรมดา จะไปสู้อะไรได้ครับ
สุดท้าย คือ ผมจะรอคำตอบนะครับ และจะ Update ให้ทุกท่านอีกครั้ง ว่าผลออกมาจะจบอย่างไร แต่ขอบอกก่อนนะครับ ว่าถ้ายืนยันผมเป็นฝ่ายผิด พนักงานธนาคารเป็นฝ่ายถูก ก็ไม่เป็นไรครับ
แต่ในการชำระหนี้ครั้งต่อไป ผมก็จะพิจารณาว่าจะชำระหรือไม่ชำระนะครับ เพราะผมเหมือนถูกโกง ถ้าผมจะไม่จ่ายบ้าง ก็ยอมเสียประวัติครับ (ผมไม่เคยมีประวัติเสียในการชำระหนี้ครับ ทุกธนาคาร ประวัติดีตลอด) แล้วการไม่ชำระหนี้บัตรเครดิต เป็นคดีแพ่งครับ
เพราะผมจะเอาเรื่องนี้ยื้อให้สุดครับ ในเมื่อผมไม่ได้เงินคุณ คุณก็ไม่ได้เงินผมครับ
อย่างไรก็ตาม จากกระทู้นี้ต้องมีการพิสูจน์ความจริงต่อไป ซึ่งเรานำเอาเนื้อหาในกระทู้มาเสนอเพื่อที่จะให้ความเป็นธรรมทั้งสองฝ่าย
ทั้งนี้ ได้มีชาวพันทิปมาแสดงความคิดเห็นมากมาย อาทิ “เรื่องนี้ธนาคารพลาดเอง. คุณอาจจะให้ครบจริง หรือไม่ครบจริงๆก็ตาม
แต่ธนาคารออกใบเสร็จว่ารับเงินไปแล้ว 26,000บาท ก็แสดงว่าธนาคารรับทราบว่าได้เงินไปแล้ว 26,000 จะปัดตรงนี้ออกไปไม่ได้”
หรือ “เคสนี้ ตัวพนักงานที่เป็นคนทำรายการต้องเป็นคนรับผิดชอบ ไม่ใช่แบงค์”