ชื่นชม “คุณหมอลดอ้วนเข้าฟิตเนต-ใส่ใจอาหาร-ออกกำลังกาย”

1390365100-PhotoGrid1-o

ผู้สื่อข่าวรายงานว่าในเว็บไซต์พันทิบได้มีกระทู้ในหัวข้อว่า “400วันแห่งการเปลี่ยนชีวิตตลอดกาล” จากคุณ “vee_ood” ซึ่งเป็นเรื่องราวการเล่าเรื่องของคุณหมอท่านนึงพยายามลดความอ้วนแบบไม่ใช้ยา แต่ใส่ใจการทานอาหาร ออกกำลังกายเป็นหลัก

โดยเนื้อหาแบบคร่าวๆ ระบุว่า “ก่อนอื่นเลยขอแนะนำตัวก่อนนะค่ะ ดิฉันชื่อวี ค่ะ อายุ27 ปี ตอนนี้รับราชการในโรงพยาบาลแห่งหนึ่ง ในจังหวัดทางภาคอีสานของประเทษไทย พื้นเพเดิมเป็นคนฐานะธรรมดา ปานกลางในครอบครัวค้าขายคนจีน ไม่แปลกนะค่ะ คนจีนมักมาพร้อมกับอาหารการกินที่สมบูรณ์เสมอ จึงไม่แปลก ที่วีจะเติบโตขึ้นมาด้วยน้ำหนัก ที่ไม่เคยรู้จักเลข6 มาก่อน ไม่7 ก็8ถามหา ทั้งๆที่สูง 168 นะค่ะ น้ำหนักทั่วไปของผู้หญิง เค้าเอาไม่เกิน ส่วนสูงลบ 110กัน ซึ่งก็เกินไป เยอะมากๆค่ะ

ไม่อยากจะโทษครอบครัวอย่างเดียว แต่มันเป็นเพราะเราเป็นคนชอบกินด้วย ชอบกินข้าวมากๆ แต่ยังดีที่ของหวานไม่ชอบกินเท่าไร แต่ข้าวนี่กินเท่าไร เดี๋ยวเก็บไว้พูดนะค่ะ แตก็พอออกกำลังกายอยู่บ้าง ด้วยการเล่นบาส (เน้นโยนลงห่วงอย่างเดียว วิ่งไม่ไหว) วิ่งเหยาะ ตามสวนสาธารณะบ้าง บ้างคือบ้างจรืงๆค่ะ เดือนนึง 3ครั้งก็ดีมากแล้ว

“น่าอายนะค่ะทั้งๆที่เราทำงานเกี่ยวกับสุขภาพของคนแบบนี้ แต่เราเป็นตัวอย่างที่ดีให้คนอื่นไม่ได้เลย คงถึงเวลาที่อะไรสักอย่างมาดลใจให้วีลดน้ำหนักอีกครั้ง ย้อนกลับไป เดือน ตุลาคม  2555 จุดเริ่มต้นมันก็เหมือน ครั้งก่อนๆที่เคยพยายามลดน้ำหนัก ด้วยวิธีการต่างๆมา ไม่ใช่ว่าวีอยากเกิดมาอ้วนท้วนแบบนี้แล้วไม่คิดจะลด

1390475913-image-o

 

แต่ที่ผ่านมาการลดน้ำหนัก มันผิดอย่างมหันต์ต่างหาก เรามุ่งเน้นแต่จะเอาน้ำหนักลงจึงโหม อดอาหาร และ ออกกำลังกายอย่างบ้าคลั่ง (ทำอย่างไรให้ผิดๆเดี๋ยวว่ากันค่ะ) ก่อนอื่นเลย มีพี่ที่ทำงานคนนึง ลากไปชั่งน้ำหนัก แปลกนะค่ะ คุณที่เป็นสาวหรือหนุ่มเจ้าเนื้อมักจะกลัวตาชั่งมากๆ โอ้ววแม่เจ้า 78 กิโลกรัมเท่านั้น

ทั้งนี้ คุณ “vee_ood” ระบุต่อไปอีกว่า จาก 78 ถึงปัจจุบัน 57-58 กิโลกรัม (มกราคม 2557) ไม่ใช้ยา ไม่ใช้ตัวแสดงแทน และ ไม่เคยสัมผัสถึงคำว่าหิวเลยแม้แต่วันเดียว ในรอบ 400 วันที่ผ่านมาค่ะ สำหรับชีวิตของคุณวีนั้น มีเงื่อนไขของชีวิตคือ งานที่ทำ เป็นงานที่ไม่มีเวลา ต้องทำกลางคืนในบางวัน และต่อกลางวันอีก เป็นคนที่ ลำตัวช่วงบน หน้าอก แขนใหญ่  เป็นคนไม่ชอบวิ่งมากๆ

สำหรับ บทเรียนที่ 1 คุณ “vee_ood”  ระบุว่า อายุ 50ปี ฉันจะเป็นอย่างไร ??

“ใช่ค่ะ วีเป็นหมอ แต่จริงๆแล้วเป็นคนที่ไม่อยากให้ใครรู้ว่าเป็นหมอสักเท่าไร แต่เนื่องด้วย รูปตอนอ้วนมีไม่มากเลย วันๆที่เราตรวจคนไข้ มีคนหลากหลายประเภทเข้ามาพบ แน่นอนมากกว่า 95 เปอร์เซ็นเป็นคนที่ไม่สบาย เจ็บป่วยด้วยโรคเรื้อรัง ความดันโลหิตสูงบ้าง เบาหวาน ไขมันในเลือดสูง บางคนมาหาเราด้วยผลแทรกซ้อนของโรคเหล่านั้นคือ โรคหัวใจ น้ำท่วมปอด หัวใจวายเฉียบพลัน ในขณะที่เรามีตัวอย่างให้เห็นทางด้านคนที่ออกกำลังกาย ที่อายุ50ปีเหมือนกัน คือ พี่โต้ และ อาจารย์หมอกนกกวรรณ (ขออนุญาตเอ่ยนามนะค่ะ) เพราะท่าน2คนนี้เป็นผู้หญิงอายุ 50ปี ที่แข็งแรงมาก(ขนาดที่สามารถวิ่งลูวิ่งความเร็ว 11 ได้ต่อเนื่องเป็นชั่วโมง) ความคิด ไม่อยากเป็น “ภาระ”ลูกหลาน ตอนนี้ผุดขึ้นมาในหัวทันที

1390364737-PhotoGrid1-o

สำคัญคือ คิดปุ๊ป ก็ลงมือทำเลยค่ะ (โชคดีที่เป็นคนแบบนี้อยู่แล้ว แค่ที่ผ่านมา ทำแบบผิดๆ ) เย็นนั้นเองวีก็ขับรถไปสมัครสมาชิกฟิตเนสทันที อยากเป็นหญิงอายุ50ปี ที่สวย หุ่นดี ไม่มีโรค เก๋ๆ อะค่ะทำไงได้ จะมาเริ่มตอนอายุ45 ก็คงไม่สาย แต่เริ่มตอน 25 จะดีกว่านะค่ะ

บทเรียนที่สอง กินผิดๆ ออก ผิดๆ ในสมองของคนทั่วไป ไปฟิตเนสก็คือไปวิ่ง วิ่งๆๆๆๆๆ ในเหงื่อ ออกให้ตายไปข้างนึง ซึ่งเป็นสิ่งที่ผิด จำได้วันแรก ไปก็ไปเหมือนคนอื่น วิ่งๆๆๆๆ พยายามภาวนาขอให้ครบ 30นาทีตามหลักที่เรียนมาคือ ออกกำลังกายควรออกอยางน้อยวันละ 30นาที 3-5วันต่อสัปดาห์

ส่วนเรื่องการกินช่วงนั้น วีตัดข้าว แป้ง น้ำตาล ออกอย่าง ลงแดงเลยค่ะ เช้ากินกาแฟดำ 1แก้ว ( ซึ่งกาแฟเนี่ยเดี๋ยวจะเล่าให้ฟังว่าผลเสียมันคืออะไร) กลางวันกิน ส้มตำ เย็นกิน ผลไม้ เช่น แอปเปิ้ลเขียว มะละกอ ซึ่ง มันน้อยไปมากๆ สำหรับคนปกติ และน้อยมากๆๆๆๆๆ สำหรับคนที่อออกำลังกาย แถม ไม่มีโปรตีน และคาร์โบไฮเดรต ที่จะดึงเอาพลังงานมาใช้อีก (ต่อไปจะเล่าว่า กินข้าวไม่อ้วนนะค่ะ) ผลคือ เพลีย หลังออกกำลังกายมากๆ วันนั้นเองได้รู้จักเพื่อนคนนึง ที่ตอนนี้เค้าเดินเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของความสำเร็จในชีวิตไปแล้ว

วีจึงได้รับคำแนะนำการอกกำลังกายอย่างถูกต้อง ซึ่งวีเขียนมาจากโปรแกรมการออกกำลังกายของตัวเอง อาจจะไม่ตรงตามหลักสากลเท่าไรนะค่ะ ช่วง 1 เดือนแรกนั้น น้ำหนักจึงลดลงไป อย่างโทรมๆ 6-7 กิโลกรัม แบบ ผิดๆ

ขณะที่ บทเรียนที่3 น้ำหนักในตาชั่งเป็นเพียงตัวเลข และจัดการตู้เย็นของคุณใหม่ ทุกคนที่กำลังหันมาลดน้ำหนัก อยากให้มองว่าเราลดสัดส่วนดีกว่า น้ำหนักในตราชั่งนะค่ะ ตอนนี้เวลาเดินทางเข้าสู่เดือนที่สองแล้ว จาก 78 ลดลงมาเป็น 72 แบบเร็วๆ เหนื่อยๆ และเพลียๆ มุ่งเน้นเอาเลขในตราชั่งลงให้ได้ ฮึบๆๆๆๆ แต่ก็มีบางคนที่เข้ามาเปลี่ยนทั้งความคิด คุณค่าในตัวเอง และทุกๆอย่าง ขอเรียกว่านาย พิโกโร่ ละกันนะค่ะ นายพิโกโร่เป็นเทรนเนอร์ที่ตอนแรก เราตั้งใจจะจ้างมาเทรนส่วนตัวทำไงก็ได้ให้น้ำหนักเราลดลง ขอ3เดือน 10กิโลกรัมได้ไหม…..พิโกโร่ตอบมาว่า ได้มากกว่านั้นอีก แต่วีต้องทำตามเราบอกทุกอย่าง

พิโกโร่เริ่มตั้งแต่การ สังคยานาตู้เย็นในแฟลต ซึ่งจำได้ว่ามี เบียร์ ไส้กรอดอีสาน เบคอน อาหารกล่อง ซึ่งโดนเอาทิ้งหมดเลย และพิโกโร่ก็ซื้อ ไข่มาแทนที่ของในตู้เย็น “วีต้องกิน โปรตีนจากไข่ขาว ปลา ไก่ส่วนอก และกินคารโบไฮเดรต จากข้าวกล้อง วันนึงไม่เกิน 3 ทัพพี จริงๆเค้าก็ไมได้บอก เป๊ะขนาดนั้นหรอกนะค่ะ แต่เราซึมซับตัวอย่างจากเค้ามา และเลิกสนใจน้ำหนักในตราชั่งสักที

บทเรียนต่อไปคือ “อาหาร” เป็นบทเรียนที่สี่ สำคัญมาก  อาหารการกิน วันนึงเราต้องเอา พลังงานเข้า 1200 kcal โดยประมาณ (พลังงานที่ต้องการสำหรับผู้หญิง1วัน) คาร์โบไฮเดรต 3-4กรัม ต่อ นนตัว กก โปรตีน1กรัม/1kg ไขมัน 1กรัม ต่อ น้ำหนักตัว1กก เพราะฉะนั้น เราจะกินอะไรเข้าไป ถ้าไม่ถึง ก็ ok แล้ว แต่ถ้ากินคลีน (clean) ก็จะดียิ่งกว่า คือน้ำตาล เกลือ ผงต่างๆ น้อยหรือไม่ใส่เลย (ฝืดมาก กินแบบนักเพาะกาย)  เลยกลายเป็นตารางการกิน คร่าวๆหมุนวนไปเรื่อยๆดังนี้ เช้า เลือก1เมนู ข้าวโอ้ต 2ช้อนโต๊ะ ใส่เวย์โปรตีน 1/2scoop ใส่ในน้ำเดือดแล้ว คนๆ

ขนมปังโฮหวีต ราดน้ำผึ้ง+ไข่ขาวต้ม2ฟอง

ข้าวกล้อง1ทัพพี +ไก่100กรัม(จะเอามากระเพรา ทอดกระเทียม ผัดอะไรก็ได้ แต่ ปรุงน้อย และใช้น้ำมันมะกอก)

กลางวัน ข้าวกล้อง ปลาเผาครึ่งตัว(อีกครึ่งหาคนหาร)

สุกี้ไก่

ข้าวไข่ดาว ไข่ขาว3แดง1 หรือจะทำเจียวก็ดี

ปลาอบ ข้าวกล้อง

เย็น จะคล้ายๆ กลางวัน มื้อเสริม ไก่ต้ม(ร้านข้าวมันไก่)ส่วนอก 100กรัม หรือ ผลไม้ หรือ สลัด ไข่ต้ม ใส่โยเกิต

1390875734-PhotoGrid1-o

ข้อควรระวังอื่นๆ

1น้ำมันใช้น้ำมันมะกอกเท่านั้น

2.ไก่100กรัม=1ฝ่ามือ 3กินเนื้อ ดีกว่าหมู แต่ จขกท กินแล้วท้องผูกจึงไม่ชอบ

4งดเครื่องดื่ม alcohol ทุกชนิด(จขกท เดิมเป็นคนดื่มเยอะมากกกกกก งดแบบ ทันทีเลย)

5ปล่อยให้มีมื้อ cheat meal คือการกินตามใจนอกบ้านบ้างเดือนละครั้ง เพื่อให้จิตใจไม่เครียดกับการกินเกินไป จขกท ไปกิน พิซซ่า หมูกะทะ เดือนละครั้ง แต่ต้องตั้งใจว่าหลังจาก มื้อนี้เราจะกินที่เราทำอย่างเดียวต่อ อีก1เดือน

6 ไปสังสรรค์ นัดกินข้าวกะเพื่อนได้ ไม่มีปัญหา แต่ให้เราเลือก ของ ต้ม นึ่ง ย่าง (ที่ไม่มัน) สะกดไว้ที่ใจ คิดถึงเวลาออกกำลัง 7 เวลาออกกำลัง ให้เราคิดเสมอว่า เพื่อตัวเอง เพื่อตัวเอง และเพื่อตัวเอง ไม่มีใตรทำให้เราสวยได้

8 กินให้อิ่ม แต่ไม่ใช่อิ่มเกิน กินเพืออยู่ และเพื่อสุขภาพ ไม่ใช่แค่รูปร่าง แต่เพื่อ อนาคตเราจะได้ไม่เป็นโรคร้าย

9ทานมังสวิรัติ อาทิตย์ละครั้ง เพื่อเป็นการพัก ทางเดินอาหาร

10 ดื่มน้ำสะอาด 2แก้วหลังตื่นนอนทันที และก่อนนอน 1ชั่วโมง และ คอยจิบน้ำตลอดทั้งวัน

1390365608-PhotoGrid1-o

ส่วน บทเรียนที่ห้า ฉันเบื่อออกกำลัง ช่วงเดือนที่5-6ของการออกกำลังกาย เป็นช่วงสูงสุด คือ ออกอย่างบ้าคลั่งมาก คาดิโอ วันนึง80นาที บอดี้เวท 60 ต่อเนือง เวทอยากยกให้สูงๆๆๆๆ น้ำหนักมากที่สุด แต่รู้สึกไม่พัฒนาเลย ทั้ง สัดส่วน และน้ำหนักในตราชั่ง ท้อแท้แล้วนะ ทำไงดี เฮ้อ อยู่เวรมา ทั้งคืนแล้ว อุตส่าห์รีบขับรถ (ฟิตเนสห่างจาก รพ 10กม ต่างจังหวัดขับประมาณ15-20นาที ) มาออกกำลังกาย ทำไม เราถึงไม่พัฒนา จุดนี้แหละที่ทำให้ใครหลายๆคนท้อ และพับเสื่อกลับบ้านไป

มาเจอคุณพิโกโร่ นายนี่ก็เขียนโปรแกรมมาแน่นเหลือเกิน และแอบหวังว่าเราจะทำได้ตามเค้าวางไว้ ออกไปได้ 30นาที ด้วย โปรแกรม body weight

วี:วันนี้ไม่อยากออกอกำลังเลยอะ

พิโกโร่ : อิหยัง ทำไมอะ. วี:ง่วง เบื่อ ไม่อยากแล้ว ท้อ

พิโกโร่: ถามจริงๆวีออกกำลังกายทำไม  วี:อยากสุขภาพดี แข็งแรง ไม่มีโรค อยากทำให้เกิดแรงบันดาลใจให้คนอื่นออกกำลัง

พิโกโร่ :งั้น วันนี้ไปนวดอโรม่า ขัดตัวไป ไปพักซะ เพราะออกไปก็ไม่ได้อะไรขึ้นมา แล้วพรุ่งนี้ ต้องกลับมานะ

วี ยิ้มพร้อมแววตา ลุกวาว เย่ๆๆๆๆๆๆแล้วเดินไปนวดแบบ สมัครใจ (จุดนี้เรามาถึง over training syndrome )

1390375275-PhotoGrid1-o

บทเรียนที่หก คนบันดาลใจ

คุณวี ระบุว่า คนบันดาลใจ คือ คนที่มีอิทธิพล ไม่ว่าทางใดทางหนึ่ง ให้เรายังคงมีแรงสู้ต่อไป รวมถึง คนที่เรานำเค้ามาเป็นแบบอย่างในการออกกำลัง หรือการดำรงชีวิต

เราขอยกตัวอย่างคร่าวๆ คนบันดาลใจ ของคุณวีคือ  “ตัวเอง คุณจะยอมแพ้มันง่ายมาก เพราะถ้าคนเหล่านั้น ไม่อยู่ หรือ ล้มเลิกไปเสียก่อนทำยังไงละ คนเราเกิดมาคนเดียว และตายคนเดียวค่ะ วีเชื่ออย่างนั้นนะ สิ่งบันดาลในตัววีเอง คือ สุขภาพในช่วงแรก ตอนอ้วน มีปัญหาเยอะมาก เป็นทั้ง หอบหืด ภูมิแพ้ ปวดเข่า เราอายุ 25 เองนะนั่น แต่ถ้าเรา 50มันจะเป็นอย่างไร คงจะไม่พ้น คนแก่ที่นอนแผ่ที่เตียง รอเป็นภาระลูกหลาน แน่นอน ความทรมานจากการเจ็บป่วยเราได้เห็นมันทุกวันๆ ไม่ใช่เค้าพวกนั้นดูแลตัวเองไม่ดี แต่อาจจะเป็นเพราะเค้า ไม่มีโอกาสเหมือนเราก็เป็นได้ เพราะฉะนั้น เรายังมีแรง แขนขาครบ คำว่า’ไม่มีเวลา’ ไม่ใช่ข้ออ้าง ที่จะมาใช้ได้เลย

การออกกำลังกาย และการรับประทานอาหาร มันเหมือนการทดลองนะ สำหรับวี โดยมีเราเป็นหนูทดลองเอง เดือนไหนคลีนมา ร่องท้องขึ้นเลย เดือนไหน คลีนน้อยหน่อย ร่องท้องก็หายไป เราส่องกระจกมองตัวเองทุกวันตอนอาบน้ำ มันจะมีแรงแปลกๆให้เรา ทำต่อในวันพรุ่งนี้ เพราะความฝันของวีคือ 6 แพค เพราะฉะนั้น วีก็เหมือนต้องอยู่ในห้องทดลองของชีวิตต่อไป

สำหรับ บทเรียนที่เจ็ด เราจะออกกำลังกายให้เหนื่อยแค่ไหนนั้น คุณวี ระบุว่า เราควรออกกำลังกายให้อัตราการเต้นของหัวใจนั้นเต้นอยู่ที่ 126 ครั้ง/นาที เวลาออกกำลังกาย หัวใจอาจจะเต้นได้ไม่คงที่นะ ผลนั้นขึ้นอยู่กับ รอบการปั่น (RPM) ความเร็ว (Speed) ความเข้มข้นที่ใช้ (Intensity) หรือแม้แต่การพูดไปด้วยแล้วออกกำลังกายไปด้วย การคุยกันมากจนเกินไปทำให้เราไม่สามารถควบคุมจังหวะการหายใจได้ดีเท่าที่ควร เวลาทำคาร์ดิโอ ชีพจรเลยมีค่าแปรปวนตามไปบ้าง ต้องมีสมาธิพอสมควร

ส่วน บทเสริมเกี่ยวกับกาแฟดำ คุณวี บอกว่า โดยปกติตอนอ้วนเป็นคนติดกาแฟมาก และเวลาเรียนหนังสือ อยู่เวร มันเป็นเครื่องมือขับเคลื่อนร่างกายเลยก็ว่าได้ค่ะ แต่เมื่อก่อนทานกาแฟธรรมดา ที่ใส่ทั้งน้ำตาล ครีม นมข้มต่างๆ พอลดความอ้วน จึงเป็นมาทานกาแฟดำ ไม่ใส่น้ำตาล ซึ่งเป็นอะไรที่ทรมานมากเลยค่ะ

กินกาแฟดำตอนเช้า1แก้ว ทุกวัน มาประมาณ 3 ปี(ก่อนลด ความอ้วนอีกเพราะชอบกลิ่นมัน)เป็นความคิดเห็นส่วนตัวนะคะ ที่ว่ากาแฟดำ ไม่ดีเพราะ 1 ถ้าไม่พึ่งพามัน เราจะเบลอ ปวดหัว ง่วงนอน สมองไม่โปร่งเลย ในแง่ของประโยชน์ก่อนนะค่ะ

1ทำให้คุณไม่ง่วงและกระปรี้กระเปร่าตลอดเวลาโดยมีผลมาจากในกาแฟดำมีคาเฟอิน นอกจากนี้คาเฟอีนยังช่วยแก้อาการเมาค้างได้อีกด้วย

2 ทำให้เลือดไหลเวียนสะดวกซึ่งเป็นผลดีต่อผิวพรรณ

3 แก้ความดันโลหิตต่ำ, ช่วยขจัดกลิ่นปาก ช่วยละลายไขมัน ซึ่งก็จะช่วยในการลดน้ำหนักนั่นเอง

สำหรับข้อมูลทั้งหมดสามารถอ่านได้ที่ pantip.com/topic/31550875

เรียบเรียงโดย dodeden.com

1390668815-image-o

เรื่องน่าสนใจ