ที่มา: kapook

ดราม่าหนัก! สาวเจ้าของสถาบันสักแก้มชมพูฉุน ตั้งกระทู้เรียกร้องหาความยุติธรรม หลังโดนสื่อสำนักดังเสนอข่าว รูปและชื่อจริงพาดพิงทำตัวเองเสียหาย อยากขอให้ลงข้อเท็จจริง งานนี้ชาวเน็ตเสียงแตกเป็นสองฝ่าย ทั้งฝ่ายที่ให้กำลังใจและฝ่ายเห็นด้วยกับสื่อ

km6001

หลังจากก่อนหน้านี้ ในโลกออนไลน์มีกระแสเทรนด์ใหม่มาแรง อย่างสักแก้มเป็นสีชมพู ดูหน้าระเรื่อตลอดเวลา โดยไม่ต้องพึ่งเครื่องสำอาง ทำให้หลายคนเกิดความสนใจ และสื่อหลายสำนักจับประเด็นนี้ไปนำเสนอข่าวกันอย่างมากมาย ซึ่งทั้งนี้ยังไม่มีข้อเท็จจริงหรือข้อมูลว่าการทำสักแก้มชมพูนั้นสามารถทำได้จริงหรือไม่ และมีผลข้างเคียงอย่างไร

แต่สุดท้ายก็มีประเด็นดราม่าเกิดขึ้นจนได้เมื่อมีสื่อชื่อดังสำนักหนึ่งได้นำเสนอข่าว ในเชิงพาดพิงหญิงสาวเจ้าของสถาบันความงามที่ได้เปิดบริการสักแก้มชมพูดังกล่าว ทั้งการนำเสนอรูปและชื่อจริง รวมทั้งการพาดหัวข่าวพาดพิงถึง โดยไม่ได้เข้าไปสอบถามข้อมูลจริงๆจากเธอเลย จนทำให้หญิงสาวเจ้าของสถาบันความงามเสียหายและต้องออกมาตั้งกระทู้ชี้แจง

km1

nz4m9u7t99uwbfQi1yB-o

เมื่อวันที่ 11 ธันวาคม 2558 สมาชิกพันทิป Baby_Famous ที่อ้างว่าเป็นเจ้าของสถาบันความงามที่ถูกพาดพิงได้เข้ามาตั้งกระทู้ว่า “ชี้แจงข่าว ‘สักแก้มชมพู เทรนด์พาซวยมากกว่าสวย’ จากหนังสือพิมพ์ผู้จัดการรายวันและผู้จัดการออนไลน์” ระบุว่าตนเองไม่ได้รับความเป็นธรรมจากสื่อที่นำเสนอข่าว เพียงเพื่อสร้างกระแสปลุกปั่นให้คนมาสนใจติดตามช่องของตัวเอง โดยไม่สนใจข้อเท็จจริง

โดยสื่อดังกล่าว ได้มีการพาดหัวข่าวว่า “สักแก้มชมพู เทรนด์พาซวยมากกว่าสวย” รวมทั้งยังมีบทสัมภาษณ์ของนายแพทย์ท่านหนึ่งที่บอกว่า ใบรับรองของเธอที่ได้มาจากสถาบันชื่อดังของอเมริกานั้นดูลึกลับและไม่สามารถตรวจสอบที่มาได้ เหมือนเป็นการรับรองกันเอง ซึ่งทำให้เธอได้รับความเสียหายอย่างมาก

km2

km3

km4

ทั้งนี้เพื่อเป็นการยืนยันว่า สถาบันสักแก้มชมพูของเธอนั้น ทำถูกต้อง และปลอดภัย เจ้าของกระทู้จึงได้โพสต์ภาพใบรับรองพร้อมรูปภาพระหว่างที่ตนเองเข้า อบรมการสักแก้มสีชมพูมาอธิบายอย่างละเอียดยิบเพื่อเรียกร้องความเป็นธรรมให้ ตนเอง

km5

km6

km7

km8

km9

แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ได้มีชาวเน็ตเข้ามาแสดงความคิดเห็นโดยมีความคิดเห็นแตกเป็นสองฝ่ายอยู่ดี ทั้งฝ่ายที่มาให้กำลังใจและต่อว่าสื่อมวลชนที่นำเสนอข่าวอย่างไร้จรรยาบรรณ ขณะที่อีกฝ่ายมองว่าสื่อทำถูกแล้วที่เสนอข่าวเป็นการเตือนไว้ก่อน เพราะถึงจะได้ใบรับรองจากต่างประเทศก็ไม่ได้หมายความว่าจะได้รับการรับรองในประเทศไทย ขณะที่บางส่วนแนะว่าควรติดต่อสำนักข่าวเพื่อชี้แจงน่าจะได้ผลมากกว่า

ภาพจาก pantip.com

เรื่องน่าสนใจ