แชร์ประสบการณ์ ดูแลผิว สาวผิวคล้ำ เปลี่ยนเป็นคนใหม่ที่มั่นใจสุด ๆ

ไม่ว่าใครๆ ก็อยากเป็นคนสวย แต่จะทำยังไงล่ะถ้าเกิดมาไม่ขาวไม่สวย ก็ต้องทำทุกวิถีทางที่จะให้สวยขึ้นให้ได้   เช่นเดียวกับ คุณ madame_miruku  ที่เป็นอีกหนึ่งคนที่มีความมั่งมั่นที่จะพลิกตัวเอง จากสาวผิวคล้ำ ให้สวยขึ้นให้ได้

pan1

และในปัจจุบันเธอคนนี้ก็ทำได้ แทบจะเรียกได้ว่าเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือกันเลยทีเดียว
เรื่องราวของ คุณ madame_miruku  ที่ได้ถ่ายถอดเรื่องราวของตัวเองผ่านเวปพันทิป เพื่อมาให้คนอื่นๆ ได้รับรู้ และมีกำลังใจในการเปลี่ยนแปลงตัวเอง ว่าทุกคนหากมีความพยายามก็สวยขึ้นได้ การรีวิวถือว่าเป็นประโยชน์มากๆ เราจึงได้นำมาฝากกัน  ไปติดตามกันเลย

pan2

ต้องขอออกตัวก่อนว่า ไม่ได้คิดว่าตัวเองเป็นคนสวยเลิศเลออะไร แค่รู้สึกว่ามันดีขึ้นดูได้มากขึ้น เมื่อมีคนทักเรื่อย ๆ และเอารูปเก่า ๆ มาดูจนต้องบอกว่ามันก็ “อัศจรรย์” เหมือนกันนะ “กาลเวลา” เนี่ย ดังนั้นอย่าได้ท้อเชียวสาว ๆ ให้ถือสุภาษิตที่ว่า “ยิ่งโตยิ่งสวย ยิ่งแก่ยิ่งมันส์”

เด็กตัวดำ ๆ หัวหยิก ๆ ใต้ตาดำปี๋ ฟันเหยิน ๆ สิ่งที่พกติดตัวมาตั้งแต่เกิด เพราะเป็นลูกคนใต้โดยแท้ ไม่เสี้ยว ไม่ครึ่ง มาเต็ม !!! ก็เลยหลีกเลี่ยงยีนเด่นทั้งหมดไม่ได้สักสิ่ง บวกกับความไม่สนใจตัวเอง ผิวแห้งก็ปล่อยให้ตกสะเก็ดเป็นปลาเกยตื้น ล้างหน้ากับน้ำเปล่า เห็นจะมีสิ่งเดียวที่พยายามจะเปลี่ยนมันคือหัวหยิก ๆ ที่ไปยืดผมมาตั้งแต่เด็ก ๆ จวบจนเริ่มโตเข้าหน่อย ก็รู้จักการควบคุมอาหาร น้ำหนัก และการออกกำลังกาย เพราะเป็นคนตัวสูง 170 กว่า ๆ มาตั้งแต่มัธยม ไม่อยากตัวอ้วนใหญ่เป็นยักษ์ปักหลั่นเลยจริงจังกับเรื่องนี้มาก น้ำหนักไม่เคยเกิน 50 กิโลกรัม มาตลอดตั้งแต่อายุ 16 จนปัจจุบัน สู้อุตส่าห์ไม่กินข้าวเลยแม้แต่เม็ดเดียว กินแต่กับข้าว น้ำเต้าหู้ กล้วย ไข่ มาตั้งแต่ ม.2 จนจบมหาวิทยาลัย เข้าฟิตเนส วิ่งรอบสนามฟุตบอลวันละ 10 รอบ ซิทอัพวันละ 500 ครั้ง ทุกวัน !!! (เพื่อนคิดว่าติดผู้ชาย) จึงมีแต่คนมองว่าบุคลิกค่อนข้างดี สูง ผอม เฟิร์ม และตู้ม!!! แต่อย่ามองหน้านะ ลืม ๆ มันไป ฟิ้ว!…

พอเข้ามหาวิทยาลัยก็รู้จักสิ่งมหัศจรรย์ที่เรียกว่า “เครื่องสำอาง” มากขึ้น ก็เริ่มรักสวยรักงามขึ้นบ้าง แต่ก็เหมือนลิงได้แหวน ใช้ไม่เป็นก็เลยไม่สามารถเอาคุณสมบัติของมันมาใช้ให้เกิดประสิทธิภาพได้ บวกกับเบี้ยน้อยหอยน้อยไม่มีปัญญาจะซื้อมาใช้มากมาย เก่ง ๆ ก็น้ำยาอุทัยขวดใหญ่ไม่กี่บาท เอามาแบ่งขวดเล็กทาปากแดง วาสลีนกระปุกไม่กี่ตังค์ใช้บำรุงตั้งแต่หัวจรดเท้า ทาผม ขนตา ปาก ข้อศอก เข่า ตาตุ่มไปจนถึงส้นเท้า ไม่เหมือนเด็กสมัยนี้เงินถุงเงินถังไม่รู้ไปเอามาจากไหน แห่ซื้อเครื่องสำอางเคาน์เตอร์ในห้างกันจ้าละหวั่น จนโตเริ่มทำงานก็เริ่มซื้อเล็กซื้อน้อย ตามเงินในกระเป๋าที่พอใช้ได้หลังจากส่งให้พ่อให้แม่แล้ว

ด้วยเหตุนี้วิวัฒนาการตั้งแต่ช่วงวัยเด็กจวบจนจบมหาวิทยาลัยจึงไม่ค่อยมี ความเปลี่ยนแปลงเท่าไหร่ เพราะความสวยผันผวนตามทุนทรัพย์นั่นเอง เอาเข้าจริง ๆ ความเปลี่ยนแปลงเห็นได้อย่างชัดเจนช่วงที่เริ่มมีรายรับมากขึ้นก็คือช่วงวัย เข้าเบญจเพส ความเปลี่ยนแปลงก็เข้ามาเยือนพร้อม ๆ กับ Urban Decay Naked 1 เริ่มรู้จักการทำทรีทเม้นท์ เลเซอร์ รู้ว่าหน้าเราควรต้องทาครีมบำรุงบ้าง และการล้างหน้าหลังจากผจญกับเครื่องสำอางและฝุ่นควันก็ต้องใช้ cleansing ที่เหมาะกับสภาพผิวหรือมีคุณสมบัติในการเช็ดล้างมาสคาร่า ตั้งแต่บัดนั้น กิจกรรมความงามจึงกลายเป็นงานหลักในการดำรงชีวิต เอาไว้จะเล่าให้ฟังเรื่อย ๆ นะคะว่าทำยังไงบ้าง ใช้ผลิตภัณฑ์หรือวิธีการไหนบ้าง ความเปลี่ยนแปลงเป็นยังไงบ้าง เผื่อเอาไว้แลกเปลี่ยนกัน

pan3

555 ตอนอยู่มัธยมต้น จริง ๆ แอบทำตัวผิดระเบียบนะ โดยการไปซอยผมเพราะเป็นคนผมหยักศก เส้นเล็กฝอย ๆ ก็จะเกิดอาการหัวเห็ด เลยซอยซะหน่อยแต่ถ้าไม่ไดร์ ขอบอกว่า “เหียก” กว่าเดิมอีก

pan4

ตอนเข้าปี 1 หน้าบวมมากฟันทะลักออกจากปาก หน้าดูโหดอีกตะหาก นี่ขนาดยิ้มนะเนี่ย ไม่มีสารปรุงแต่งใด ๆ บนผิวหน้าเลย เพราะยังไม่รู้จักเครื่องสำอาง ใสเนอะ 555

pan5
ปี 4 ได้แล้วมั้ง เริ่มดูจะผ่องขึ้นหน่อย ๆ แต่เปล่าหรอก กฎของการถ่ายรูปคือ “ห้ามยิ้ม” แต่ก็ยังไม่ค่อยมีเครื่องสำอาง ใช้แป้งเด็กจอห์นสันมาตลอดอ่ะ…

pan6
เรียนจบก็อายุประมาณ 21 ได้ ตอนนั้นเริ่มมีแต่งหน้าบ้างแล้ว เพราะเริ่มทำงานสังเกตได้จากคิ้วว่าเข้มขึ้น พอรวบผม กลายเป็นผู้ชายหน้าบวมในบัดดล

pan7

จุดเริ่มต้นจึงเริ่มจากตรงจุดนี้ เมื่อดัดฟันใช้เวลาดัดฟันเป็นเวลา 2 ปีเต็ม ถอนฟันออกไปจากปาก 4 ซี่ เอาเขี้ยวออก กดไอ้ที่เหยิน ๆ ล้ำหน้าลง ผลข้างเคียงที่เกิดขึ้นคือรูปหน้าเล็กลง คางยาวขึ้น จมูกเรียว บวกกับเสื้อผ้า หน้า ผม ที่เยอะในระดับหนึ่ง ไดร์ผมลอนทุกวัน ทำสีผม ใส่บิ๊กอาย แต่งหน้าเต็ม (ไม่ค่อยชอบทาลิป) แต่เขียนคิ้วแย่มาก หัวคิ้วจะลงไปถึงดั้งแล้ว แต่งตัวมากขึ้น (จริง ๆ เรื่องแต่งตัวนี่มาแน่นตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว) แต่มันก็ยังไม่สุดใช่ป่ะ ก็มันแค่จุดเริ่มต้นเท่านั้นเอง

pan8

บอกเลย ว่าสมัยก่อน ไม่ได้มีแอพอะไรให้ใช้ทั้งนั้น มุมและแสงอาทิตย์แสงไฟเท่านั้นที่ช่วยได้ ซึ่ง “ธรรมชาติ อาจไม่ช่วยเหลือคุณ” พอเอาเหล็กดัดฟันออก ความเปลี่ยนของโครงหน้าและสิ่งสำคัญคือ ฟันไม่เหยินแล้ว มันก็มาเกิน 50 แล้ว

พอดีว่าเพื่อนที่คบกันมาตั้งแต่เยาว์วัยจบแพทย์ skin มาก็เลยชวนไปหาที่คลินิก เราก็เพื่อนดีลงคอร์สช่วยเพื่อนสักหน่อย ทั้ง ๆ ที่จริง ๆ แล้วไม่รู้หรอกว่าทำแล้วจะเป็นยังไง เพราะไม่ได้มีความรู้อะไรมาก่อนเลย เดิมทีแอนตี้ด้วยซ้ำ กลัวแพ้ กลัวพัง กลัวติด กลัวเลี้ยงยา กลัวหน้าเปลี่ยน กลัวโหงวเฮ้งเสีย (ทั้ง ๆ ที่จริง ๆ แล้วของที่มีมันดี ป่าวหว่า ???) แต่เพราะเป็นเพื่อนเลยไว้ใจ เพื่อนเลยลงคอร์สเมโสวิตซีให้เพื่อให้หน้ากระจ่างใสขึ้น โชคดีที่เป็นคนไม่ค่อยมีสิวก็เลยไม่ต้องรักษาส่วนนั้น และก็ทำเลเซอร์ IPL ในส่วนที่มันกระดำกระด่างให้สว่างกระจ่างใส หลังจากนั้นก็เริ่มเรียกร้องเองว่าอยากหน้าเล็กลงจะทำไงได้บ้างที่ไม่ต้อง เจ็บตัว เพื่อนเลยทำ RF ยกหน้าให้  มีครีมบำรุงเพิ่มความชุ่มชื้นเพราะหน้าแห้ง และทาวิตซีบริสุทธิ์ (จำได้ว่า 22%) มาทาหน้า บวกกับกินวิตซีและกลูต้า (ซึ่งเพื่อนบอกว่าเป็นตัวที่ปลอดภัย อย่าไปกินเลอะเทอะ เดี๋ยวตับไตพังหมด) ก็เป็นพื้นฐานเบสิกในการปรนเปรอผิวหน้า แต่ขอบอกนะว่าทำทุกอาทิตย์อยู่หลายเดือนเลยทีเดียว ซึ่งหน้ามันก็ดีขึ้นเรื่อย ๆ เป็นสเต็ป ตอนนี้แหละแอดดิคทำหน้าและก็เริ่มสนใจเรื่องสวย ๆ งาม ๆ เยอะขึ้น หน้าพร้อมแล้วก็ต้องเติมสีสักหน่อย เครื่องสำอางก็เริ่มมากมายขึ้น แต่งตาแน่นขึ้น สนุกกับการแต่งองค์ของตัวเองในทุกวันจริง ๆ

pan9แต่ก็นะ ความพอดีกับวิทยาการมันมักจะมาคู่กันเสมอ คือ “สูงขึ้นเรื่อย ๆ” เลยถามเพื่อนว่าจะทำยังไงที่จะให้หน้ามันเรียวเล็กแบบยาวนานหน่อย เพราะ RF มันก็ชั่วครู่ชั่วยาม ตอนทำยกขึ้นจริง 2-3 วันมันก็ลงมาเหมือนเดิม คิดดูสิเวลาเราล้างหน้าเช็ดหน้าทีก็ลู่ลงตามมือ เพื่อนเลยถามว่า ถ้าอยากอยู่นาน ๆ ก็ต้องฉีดแล้วล่ะจ้ะ สมัยนั้นเมื่อ 2-3 ปีที่แล้ว สิ่ง ๆ นี้มันยังไม่เกร่อมากถึงขนาดนี้ (หรือเค้าทำกัน แล้วเราหลังเขาหว่า ???) นั่นก็คือ Botox ก็ด้วยความไว้ใจเพื่อน บวกกับเพื่อนเองก็ทำ  และแล้วความเป็นแพทย์ผู้เชี่ยวชาญจึงให้นางจัด “น้องโบ” ให้จ้า….!!! จำได้ลาง ๆ ว่า จัดไปเกือบ 100 ยู ทั้งกราม 2 ข้าง หน้าผากที่เหี่ยวย่น (เพราะ acting ใหญ่ หน้าเหี่ยวเร็ว) เท่านั้นแหละก็เลยสำนึกได้ว่า “น้องโบ” คือเพื่อนแท้ของหญิงอย่างเราแต่มันยังไม่จบนะ มันยังไม่สุดเพราะเมื่ออายุเยอะกัน มันก็ต้องมีตัวช่วย เยอะขึ้นน่ะสิ

pan11

มาต่อกันเนอะ ก่อนหน้านี้ที่บอกว่าถ้าอยากจะสวย ไม่ใช่แค่พบแพทย์อย่างเดียว แพทย์ที่ว่าไม่ว่าจะเป็นหมอฟันหรือหมอหน้าก็ตามแต่ การแต่งหน้าแต่งตัวนี่สำคัญหลายเด้อค่า (พอดีดูคุณซานรัชชานนท์อยู่เลยอินไปหน่อย) ดูอย่างคิ้วเป็นต้นสิค่ะ จริง ๆ เป็นคนขนน้อยเส้นเล็กและก็สีอ่อนมาก (ห้ามคิดลึกนะ เค้าเขิน) ตอนเด็ก ๆ ไม่เขียนคิ้ว โตมาพยายามเขียน แต่ตล๊ก… ตลก ก็หัดเขียนมาจนปัจจุบัน (คิดว่าน่าจะพอไหว) ทุกวันนี้ถ้าไม่ได้แต่งหน้าออกจากบ้าน บางคนเห็นเผิน ๆ เจอก็ไม่ทักนะ จำไม่ค่อยได้ การแต่งตาก็มีส่วนช่วยให้คาแรคเตอร์ของเราในวันนั้นเปลี่ยนไป จะหวาน คม ดุหรือเป็นทางการ ผู้หญิงเรานี่มีตัวช่วยสร้างความมหัศจรรย์เยอะเชียว

pan12หลังจากที่ฉีด “น้องโบ” ไปครั้งแรก ก็ติดใจและก็ฉีดเรื่อย ๆ ตามอายุของยามาโดยตลอด เข็มแรกก็อยู่ได้สัก 8 เดือน เข็มต่อมาก็อยู่ประมาณ 1 ปี จำได้ว่าฉีดอยู่ประมาณ 3-4 ครั้ง ช่วงที่ฉีดก็ไม่ได้ทำ RF หรืออะไรใด ๆ ที่เค้าว่าช่วยทำให้หน้าเรียวขึ้นเลย แต่ถ้าสังเกตเห็นว่าต่อให้หน้าเรียวก็ยังมีแก้มอยู่ เพราะจริง ๆ แต่อ้อนแต่ออกก็แก้มเยอะ ที่สำคัญมีเหนียงอีกต่างหาก ยิ่งพออายุมากขึ้น กล้ามเนื้อเริ่มห้อยย้อยโตงเตงทำให้เหนียงชัดขึ้น แค่ “น้องโบ” อาจ เอาไม่อยู่ เลยได้ปรึกษาคุณหมอในคลินิกที่ทำงาน อาจจะเป็นเพราะทำงานอยู่ในวงการสวย ๆ งาม ๆ เลยพอจะมีความรู้โดยแท้จริงที่ไม่ใช่ความรู้ทางการตลาดว่า ยังพอทำอย่างไรอีกได้บ้าง คุณหมอจึงแนะนำ 2 วิธีด้วยกันคือ การฉีด fat เพื่อสลายไขมันในจุดที่ไม่ต้องการ เช่น แก้มหรือเหนียง อีกวิธีคือ “ร้อยไหม”  ซึ่งถ้าดูจากรูปปัญหาหลักคือเหนียงเลยล่ะ จึงตัดสินใจร้อยไหม ทั้งที่ตอนแรกคิดว่าวิธีนี้หัวเด็ดตีนขาดก็จะไม่ทำเป็นอันขาด แต่เห็นหลายคนทำแล้วผลลัพธ์ที่ออกมาเป็นที่น่าพอใจเลยทีเดียว เลยตัดสินใจจัดไป 20 เส้น (ถือว่าน้อยมากสำหรับคนที่ร้อยไหมกัน)

pan13
เอาจริง ๆ นะ ไม่ได้ขายของสาบานได้ มันไม่เจ็บ ไม่ช้ำ ไม่เลือดเลย ใช้ชีวิตได้ตามปกติ รุ่งเช้าทำงานได้ แค่จับหน้าเบา ๆ อย่าถูไถแรง ๆ สัก 4-5 วัน ไปบริจาคเลือดมาแขนยังช้ำกว่า ซึ่งแต่ละคนอาจจะไม่เหมือนกันขึ้นอยู่กับเงื่อนไขหลายอย่าง ไหนจะฝีมือหมอ คุณภาพเข็ม หลายหลาก เอาเป็นว่าประทับใจซึ่งมันไม่ได้แย่อย่างที่คิดไว้ตอนแรกเลย ไม่เกินครึ่งชั่วโมงก็เสร็จแล้ว (ไม่รวมแปะยาชานะ) อาทิตย์นึงก็พอเห็นผล จริง ๆ หลังจากร้อยเสร็จก็เห็นแล้วนะว่ามันตึงขึ้นเล็กขึ้น แต่หลังจากนั้น 1 เดือน ผลจะค่อนข้างชัดเจนทีเดียว ตอนนี้ก็ร้อยมาได้หนึ่งเดือนแล้ว นอกจากหน้าตึงแล้วยังรู้สึกได้เลยนะว่าหน้าดูเด็กขึ้น ไบร์ท ๆ ขึ้น ทั้ง ๆ ที่ไม่ได้ทำอะไรเลย หน้าก็ไม่ได้เลเซอร์, ทรีทเม้นท์อะไรมาเป็นปีแล้ว กลูต้าก็ไม่ได้กินแล้ว เป็นที่พึงใจโดยส่วนตัวเพราะจะถ่ายรูปมุมไหน ก็เรียวเลิศอย่างที่อยากได้ (แอบเอารูปตอนร้อยมาให้ดู)

ทั้ง นี้ทั้งนั้นไม่ได้จะมาบอกว่า ฉีดโบท็อกซ์แล้วมันดี ร้อยไหมแล้วมันดี มันแค่เป็นวิธีที่เลือกให้มาช่วยทำให้ตัวเองไปถึงเป้าหมายที่ต้องการและได้ ผลลัพธ์อย่างที่ต้องการจริง ๆ สิ่งสำคัญอีกอย่างที่ช่วยได้คือการออกกำลังกาย แต่รูปตอนปี 2 ปี 3 ที่ออกกำลังกายเป็นบ้าเป็นหลัง พูดเลย ถ้าอยากหาตัวเลือกนอกเหนือจากมหาวิทยาลัยกับบ้านก็สนามบอลและฟิตเนสจ้ะ ก็เป็นบทพิสูจน์ว่ามันได้ไม่เท่าทางลัดที่เลือกเชื่อว่าหลายคนเห็นด้วยกับ วิธีนี้ หลายคนไม่เห็นด้วย ไม่ขอดีเบทนะคะ ตามความคิดความเชื่อของแต่ละท่านเลยค่ะ (แต่ถ้าใครอยากปรึกษาก็ยินดีนะคะ) แค่อยากมาแชร์ว่า คนเราทุกคนสิ่งใดที่ทำแล้วมีความสุข “ไม่เดือดร้อนใคร” และสร้างกำลังใจให้ตนเองได้ก็ทำเถอะนะ เมื่อก่อนไม่ชอบถ่ายรูปเลย ไม่มีความทรงจำดี ๆ กับคนที่เรารักผ่านทางภาพถ่าย เพราะรู้สึกไม่โอเคทุกครั้งที่เห็นหน้าตัวเองในรูป แต่ตอนนี้มีทุกโมเม้นที่อยากเก็บเลยละค่ะ ไว้คราวหน้ามาแชร์เรื่องดูแลตัวเองด้วย 2 มือเราเองผ่านสิ่งมหัศจรรย์ที่เรียกว่า “เครื่องสำอาง” นะ

pan14

ได้เห็นการเปลี่ยนแปลงแบบนี้ หลายๆคนคงมีกำลังใจที่จะลุกขึ้นมาดูแลตัวเองกันบ้างแล้ว ขอให้สำเร็จกันทุกๆคนนะคะ

 

ขอบคุณ คุณ madame_miruku สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม

เรื่องน่าสนใจ