คนเราใช้ “เท้า” ทุกวันในการนั่ง ยืน เดิน วิ่ง กระโดด หากดูจากลักษณะภายนอกอาจเห็นว่าเท้าเป็นเพียงอวัยวะเล็กๆ แต่ที่จริงแล้วเท้ามีบทบาทสำคัญในชีวิตประจำวันมากมาย และคุณรู้หรือไม่ว่า เท้า ประกอบด้วย กระดูกข้างละ 26 ชิ้น กล้ามเนื้อและเอ็นอีก 32 มัด เมื่อนับรวมจำนวนกระดูกเท้าทั้ง 2 ข้าง จะพบว่ามีจำนวนถึง 1 ใน 4 ของจำนวนกระดูกทั่วร่างกาย กระดูกเล็กๆ เหล่านี้จะทำงานสอดประสานกันอย่างน่าทึ่งในแต่ละก้าวเดิน
จากการวิเคราะห์วงจรการเดินและวิ่ง พบว่า จังหวะและการรับน้ำหนักของเท้านั้นแตกต่างกัน การเลือกรองเท้าจึงเป็นเรื่องสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม โดยเฉพาะผู้ชื่นชอบการเล่นกีฬา
ขอขอบคุณภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต
ชนิดของรองเท้ากีฬา สามารถแบ่งเป็นกลุ่มใหญ่ๆ ดังนี้
1. รองเท้าวิ่ง (Running Shoes) ซึ่งมีทั้งวิ่งจ๊อกกิ้ง วิ่งแข่งระยะสั้น วิ่งเท้าเปล่า มีการศึกษาพบว่าร้อยละ 50 – 70 ของนักวิ่ง ได้รับบาดเจ็บจากการวิ่ง เพราะในขณะวิ่ง จะมีน้ำหนัก 2 – 3 เท่าของน้ำหนักตัวกดลงบริเวณส้นเท้า (หรือปลายเท้าในนักวิ่งเร็วระยะสั้น) ดังนั้น รองเท้าวิ่งจึงควรรองรับแรงกระแทกและกระจายน้ำหนักในบริเวณที่มีน้ำหนักกดมากๆ เช่น บริเวณส้นเท้าสำหรับรองเท้าจ๊อกกิ้ง รวมทั้งช่วยถ่ายเทน้ำหนักลงสู่พื้น ส่วนพื้นรองเท้าชั้นนอกควรมีลักษณะบานกว้างออก เพื่อเพิ่มความมั่งคงในการก้าววิ่ง ทั้งช่วยเพิ่มสมรรถนะในการวิ่ง และลดปริมาณการใช้งานของกล้ามเนื้อน่องและขา
2. รองเท้าคอร์ท (Court Shoes) เหมาะสำหรับกีฬาแบดมินตัน เทนนิส บาสเกตบอล โดยที่กีฬาประเภทนี้มีลักษณะการเคลื่อนไหวเฉพาะตัว การยืนในท่าเตรียมพร้อม จะถ่ายน้ำหนักกดลงบริเวณปลายเท้า และยังมีการเคลื่อนไหวทั้งในแนวหน้า หลัง และด้านข้างเป็นไปอย่างรวดเร็วและหยุดกะทันหัน ร่วมกับการกระโดด
ดังนั้น รองเท้าและวัสดุที่ใช้จะต้องแข็งแรงทนทาน ช่วยรับและกระจายน้ำหนัก โดยเฉพาะบริเวณฝ่าเท้าส่วนหน้าและส้นเท้าที่มาจากทุกทิศทางได้เป็นอย่างดี ช่วยลดปริมาณการใช้งานของกล้ามเนื้อ ป้องกันการบาดเจ็บ ทั้งกระชับบริเวณฝ่าเท้า ส้นเท้า เพื่อรองรับการเคลื่อนไหวทุกทิศทาง
สำหรับรองเท้าบาสเกตบอลหุ้มข้อจะช่วยประคองข้อเท้า นอกจากนี้ลวดลายรูปแบบของพื้นด้านนอก จะต้องยืดหยุ่น กันลื่น และเป็นจุดหมุนของรองเท้า ส่วนขอบพื้นรองเท้าชั้นนอกต้องหนา เพื่อป้องกันการสึกของขอบพื้นรองเท้าจากการเคลื่อนไหวและการลากเท้าในทิศทางต่างๆ