เปิดทุกเรื่องราวกว่าจะมาเป็น “พระมหาไพรวัลย์” พส.ที่คนรู้จักกันทั้งประเทศในฐานะพระนักเทศน์ พระนักคิด และการ Live สดอันลือลั่น ที่สร้างปรากฎการณ์ดึงดูดผู้คนให้หันเข้าหาธรรมะ เปลี่ยนการเทศน์ให้ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป ร่วมสนทนาธรรมในแบบฉบับ “พระมหาไพรวัลย์” ตอบชัดคิดจะสึกหรือไม่? และเรื่องของ LGBTQ กับการบวชพระขัดกับหลักศาสนาไหม? ถูกหรือผิดอย่างไร และการถูกบูลลี่ในวัยเยาว์ ซึ่งทั้งหมดนี้จะเกิดขึ้นใน Woody FM
พระอาจารย์มีความคิดเห็นเกี่ยวกับคำถามเหล่านี้ยังไงบ้าง ? ประโยคที่ว่า เก่งได้แต่อย่าเด่นจะเป็นภัย
พระมหาไพรวัลย์ : ที่จริงเก่งแล้วต้องเด่นด้วย ถ้าไม่เด่นจะเก่งไปเพื่ออะไร แล้วการเด่นมันไม่ควรจะเป็นภัย การเด่นมันควรจะได้รับการส่งเสริม ซึ่งไม่ควรมองว่าเก่งแล้วจะเป็นภัย
พระอาจารย์คิดเห็นอย่างไรที่สังคมไทยต้องการให้ลูกชายบวชทดแทนบุญคุณพ่อแม่ แล้วสำหรับลูกผู้หญิงสามารถทำอะไรได้บ้าง แล้วถ้าลูกชายไม่ยอมบวชถือว่าอกตัญญูไหม ?
พระมหาไพรวัลย์ : คอนเซปต์เรื่องการบวชทดแทนคุณไม่ได้มีในสมัยพุทธกาล พระพุทธเจ้าออกบวชไม่ใช่เพื่อทดแทนพระคุณ ออกบวชทั้งที่พ่อไม่ได้อนุญาตด้วยซ้ำ ญาติพี่น้องไม่ได้ยินยอมแต่ออกบวช ฉะนั้นคอนเซปต์ของการออกบวชมันเพิ่งมี การตอบแทนบุญคุณทำได้หลายวิธี โดยบางทีไม่จำเป็นต้องบวช และทำได้เท่าเทียมกันไม่ว่าผู้หญิงหรือผู้ชาย
ศาสนาเป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจของคงแต่ใช้ไม่ได้ในวัยรุ่นยุคปัจจุบันรู้สึกอย่างไรกับประโยคนี้ ?
พระมหาไพรวัลย์ : ก็ทำให้มันได้สิ ที่ไม่ได้เพราะอะไรก่อน ที่ไม่ได้เพราะว่าคุณก็ไม่ทำให้ศาสนามันมีคำสอน หรือชุดวิธีคิดอะไรที่มันเก็ทกับคนรุ่นใหม่ หรือที่ทำให้คนรุ่นใหม่เขารู้สึกว่ายอมรับได้ ก็ทำให้มันเป็นที่ยอมรับได้สิ
ไม่ใช่กิจของสงฆ์ เรื่องทางโลกไม่ใช่เรื่องทางธรรม เป็นพระก็อยู่ส่วนพระคิดอย่างไรกับประโยคเหล่านี้
พระมหาไพรวัลย์ : ที่จริงทางโลกกับทางธรรมมันต้องอยู่ด้วยกัน ไม่ได้แยก ทางธรรมไม่ได้อยู่บนดาวอังคาร ทางธรรมก็อยู่บนโลกนั่นแหล่ะ พระพุทธเจ้าตรัสรู้ ก็ตรัสรู้บนโลก ฉะนั้นเหมือนการที่ท่านพุทธทาสเคยสอนว่า นิพพานมีอยู่ท่ามกลางสังสาระ ฉะนั้นธรรมะก็ต้องอยู่ท่ามกลางโลก
มีบางเรื่องที่วู้ดดี้ยังไม่ได้คำตอบ เรื่องของ LGBTQ คนที่เป็นเกย์แต่อยากบวชเป็นพระ ตกลงได้หรือไม่ได้ ผิดหรือถูก เวลาถามอนันตริยกรรม ข้อห้ามข้ออนุญาตตอนที่บวช แล้วมีข้อหนึ่งที่ถามว่าคุณเป็นผู้ชายหรือเปล่า ข้อนี้คนที่เป็น LGBTQ จะต้องตอบอย่างไร ?
พระมหาไพรวัลย์ : เขาไม่ได้ถามถึงความรู้สึกนะ ไม่ได้ถามว่าคุณมีความรู้สึกเป็นผู้ชายเต็ม 100 หรือ 60% มันไม่ใช่ตัววัดความรู้สึก แต่ถามถึงกายภาพว่าคุณเป็นผู้ชายไหม ถ้าคุณมีองคชาติ คุณก็คือผู้ชาย เป็นเครื่องยืนยันว่าคุณเป็นผู้ชาย อย่างอื่นมันเปลี่ยนได้นะ ความรู้สึกนึกคิด กิริยา อาการ ล้วนแล้วฝึกหัดได้ พระพุทธเจ้าตรัสว่าในหมู่มนุษย์หลายคนฝึกแล้วเป็นผู้ประเสริฐ ฉะนั้นมนุษย์ทุกคนฝึกได้ ปรับได้ เปลี่ยนได้ แต่ถ้าคุณเอาตัวที่มันเป็นความรู้สึกนึกคิดมาเป็นมาบอกว่าเป็นผู้ชายหรือไม่เป็นผู้ชาย มันก็ไม่แฟร์ เพราะความรู้สึกมนุษย์มันเปลี่ยนได้ตลอดเวลา ฉะนั้น วุฒิโสสิ ไม่ได้ถามเรื่องอารมณ์ แต่ถามกายภาพคุณเป็นผู้ชายไหม ถ้ากายภาพคุณยังเป็นผู้ชายอยู่คุณก็คือบุรุษ
ถ้าวันนี้พระพุทธเจ้ายังอยู่ท่านจะมองเรื่อง LGBTQ อย่างไร ?
พระมหาไพรวัลย์ : พระพุทธเจ้าเป็นคนเปิดกว้างมาก ไม่ใช่แม้แต่พระพุทธเจ้าโบราณาจารย์ที่อธิบายคำสอนพระพุทธเจ้าท่านก็เปิดกว้าง ท่านอธิบายไว้ชัดนะครับเรื่องของการบวช LGBTQ คำว่า บัณเฑาะก์ ที่เอามาล้อกันที่ว่าบวชไม่ได้ บัณเฑาะก์ ไม่ได้หมายถึง เกย์ ไม่ได้หมายถึงคนที่ชอบเพศเดียวกัน แต่ บัณเฑาะก์ หมายถึงคนที่มีเพศสภาพบกพร่อง บ่งไม่ชัด เช่น คุณมีเพศชาย เพศหญิงไม่ชัด ระบุเพศไม่ได้
วันนี้เราคุยเรื่องของ “ศาสนาในอนาคต” ทำไมท่านถึงมองว่าจะต้องเป็นแบบนี้แล้วเป็นอย่างไร เพราะวู้ดดี้ไม่เคยได้ฟังจากพระอาจารย์
พระมหาไพรวัลย์ : อาตมารู้สึกว่าศาสนาที่มีอยู่ทุกวันนี้ มันเป็นศาสนาตามความอคติของคน มันไม่ใช่ศาสนาแบบเป็นจริงๆ เรามีศาสนาต่างกันเพราะเราแบ่งแยกอะไรบางอย่าง เช่น คำสอนนี้ต้องมีไว้สำหรับคนพุทธเท่านั้นจึงปฎิบัติได้ คำสอนนี้ต้องมีคริสต์เท่านั้นจึงปฎิบัติได้ แต่จริงๆ ต่อไปศาสนาจะต้องไม่มีคริสต์ ไม่มีพุทธ จะต้องเป็นศาสนาอะไรที่มันส่งเสริมการอยู่ร่วมกันระหว่างคนต่างศาสนา หรือส่งเสริมให้คนต่างศาสนามีความรักกันได้โดยไม่มีข้อแบ่งแยกหรือข้อแม้ นั่นคือศาสนาในอนาคตที่ต้องมีรูปแบบนั้น มันต้องมีคุณค่าอะไรบางอย่างที่คนยึดถือโดยที่จะแยกเพศสภาพไม่ได้ สีผิวไม่ได้ ชาติพันธุ์ไม่ได้ ศาสนายุคใหม่จะต้องไม่แบ่งแยกอะไรเลย และส่งเสริมการอยู่ร่วมกันของคน ศาสนาที่แท้จริงคือศาสนาของมนุษยชาติ
ทำไมในปีนี้ชื่อของ พระมหาไพรวัลย์ เป็นชื่อที่คนพูดถึงกันเยอะมาก ?
พระมหาไพรวัลย์ : Timing ครับ จังหวะเวลาโยมพี่วู้ดดี้ อะไรหลายๆ อย่าง คือเราทำงานด้านการสื่อสารนี้มานาน ถ้าใครเคยตามอาตมาก็จะเห็นในบทบาทอื่นๆ แต่ว่าบทบาทเหล่านั้นมันอาจจะนำไปสู่คนในสังคมยังไม่เยอะ ไม่กว้าง แต่ว่าพอเราพูดอะไรที่สังคมหรือคนส่วนใหญ่ต้องการ มันก็เลยทำให้การรับรู้กว้างขึ้น คนดูเยอะขึ้น เช่น การไลฟ์ ถ้าพูดธรรมะแบบเพียวๆ หรือพูดอะไรแบบหนักๆ คนก็จะดูน้อย แต่พอมันกลายเป็นเรื่องเอนเตอร์เทน ความสนุกคนดูเยอะ คนสนใจมาก
ปีนี้ถือว่าพีคเลยไหมครับตั้งแต่เข้าวงการไลฟ์มา ?
พระมหาไพรวัลย์ : อาจจะเป็นแบบที่โยมพี่วู้ดดี้พูด เกินความคาดหมายในตัวเราด้วยแหล่ะ เราไม่เคยคิดว่าวันหนึ่งลุกมาไลฟ์กับพระพระมหาสมปองจะมีคนดูถึง 2 แสน
มีเคยคิดว่าจะสึกบ้างไหม ?
พระมหาไพรวัลย์ : มีครับ แต่เป็นสถานการณ์ที่มันบีบ ไม่ได้อยากสึกด้วยตัวเอง เราไปอยู่ไกลบ้าน บางทีคิดว่าเป็นหัวเดียวกระเทียมลีบ เป็นเด็กคนเดียวไม่มีเพื่อน ถูกส่งไปคนเดียวตัวคนเดียว ต้องไปเริ่มทุกสิ่งทุกอย่าง ไปเรียนรู้สังคมแบบใหม่ เพื่อนแบบใหม่ บางทีก็รู้สึกว่าคนอื่นไม่ค่อยอยากจะเป็นมิตรกับเรา บางทีเลยู้สึกว่าเหงา เรียนก็หนัก บางทีก็ถูกพระที่ท่านเป็นผู้ใหญ่กว่าแกล้งบ้าง หนักสุด เช่น ปารองเท้าใส่ โดนบูลลี่ พ่อแม่อาตมาตั้งชื่อว่าเอก แต่เขาเรียกชื่อตามสภาพผิวเรา ไอ้ดำ ไอ้มืด
ถ้าจะเทศน์เรื่องนี้หรือแชร์เรื่องนี้จะพูดว่าอย่างไร ?
พระมหาไพรวัลย์ : อาตมาว่าทุกคนมีชื่อ พ่อแม่เขาตั้งชื่อให้ ไม่ว่าชื่อจริงหรือชื่อเล่น เราควรเคารพ วิธีการเคารพใครสักคนที่ง่ายที่สุด เรียกเขาตามชื่อที่พ่อแม่เขาตั้งให้ มันก็จะสะท้อนว่าเราควรเริ่มต้นการเคารพคนอื่นด้วยการเรียกชื่อให้ตรงกับชื่อของเขาจริงๆ มันไม่ขำ ไม่ตลก เวลาที่เราดึงอัตลักษณ์ของคนอื่นที่มองว่าเป็นข้อด้อยมาในการพูดถึงเขา แซวเขา แกล้งเขา มันอาจตลกสำหรับคนพูดแต่คนที่ถูกพูดถึงเขาไม่ตลก
ตอนเป็นพระเคยเสียน้ำตาบ้างไหม เรื่องอะไร ?
พระมหาไพรวัลย์ : ก็ยังมีอยู่ มีความรู้สึกเศร้า เฟลก็มี กรณีล่าสุดเมื่อปีนี้อาตมาพึ่งเสียหลานชายไป วันนั้นปกติอาตมาไปบ้านจะชอบเดินเที่ยวหลังบ้าน หลานก็วิ่งตามไป แล้วเราเหมือนกับมัวคุยโทรศัพท์หรืออะไรอยู่ หลานวิ่งล้ำหน้าไป แล้วก็ไปเล่นน้ำแล้วเราไปห้ามไม่ทัน หลานกระโดดลงไปเล่นน้ำ ปรากฎว่าจมน้ำ เล่นกันอยู่ 2 คน จมน้ำหายไปต่อหน้าอาตมาเลย ทุกวันนี้ภาพหลานก็ยังติดตาอยู่ การที่หลานเสียชีวิตไปต่อหน้าเรา อยู่ในเหตุการณ์แต่ช่วยไม่ทัน ลงไปช่วยมาได้คนหนึ่ง แต่อีกคนช่วยไม่ทัน
ตอนนี้ชินหรือยังครับที่มีรถทัวร์มาจ่อหน้าวัดตลอดเวลา ?
พระมหาไพรวัลย์ : ชินมานานแล้ว ไม่ใช่พึ่งชินตอนนี้ รู้สึกว่ามันเป็นเรื่องธรรมดามาก สภาพ! คนชอบกลัวเวลาที่เราทำอะไรสักอย่างแล้วจะมีคนไม่เห็นด้วยกับสิ่งที่เราทำหรือมีคนมาโต้แย้ง ซึ่งอาตมาว่าถ้ากลัวอย่างนั้นก็ไม่ต้องทำอะไร คุณก็ไม่ต้องทำอะไร อยู่เฉยๆ ก็ไหลไปตามเขา หรือเลี่ยงไม่ต้องพูดอะไรที่เป็นประเด็นสังคมก็จะไม่มีทัวร์ลง แต่ถามว่าชีวิตคุณจะเอาแค่นั้นเหรอ อาตมารู้สึกว่ามันไม่ใช่ บางอย่างเราอยากพูดบ้าง อยากมีส่วนในการร่วมแสดงความคิดเห็นบ้าง การแชร์ความคิดของเราบ้าง คนจะวิพากวิจารณ์ยังไงอันนั้นก็สุดแล้วแต่ คนส่วนหนึ่งจะต้องไม่เห็นด้วยแน่นอน การไลฟ์ในคืนนั้น อาตมาก็รู้ว่าหัวเราะจะต้องมีคนไม่เห็นด้วย แต่จะให้ทำไง นั่นมันคือครั้งแรกของการที่อาตมากับพระสมปองได้มาคุยกันผ่านไลฟ์ แล้วคุยกันต่อหน้าคน 2 แสนกว่าคน ที่รู้สึกว่าคนคาดหวังและคนรอดูเราเพราะเขาอยากได้ความสนุกจากธรรมะ เราก็ตอบโจทย์กับสิ่งที่คนคาดหวัง
การเป็น พระมหาไพรวัลย์ ในปีนี้ได้เรียนรู้อะไรใหม่บ้าง ?
พระมหาไพรวัลย์ : จริง ๆ ทำให้อาตมารู้สึกว่าได้เป็นตัวของตัวเองได้มากขึ้น ชัดขึ้น ในบทบาทที่ไม่เคยเป็น และอาตมาได้ปลดแอกความคาดหวังที่คนอื่นได้มีต่ออาตมาได้ไปเยอะมาก เช่น คนคาดหวังพระมหาไพรวัลย์ท่านเป็นนักวิชาการไม่ใช่เหรอ ทำไมท่านมาแบบนี้ ทำไมตลกแบบนี้ ท่านหัวเราะได้ด้วยเหรอ ท่านไม่มีสาระได้ด้วยเหรอ รู้สึกว่าเราได้ปลดแอกความคาดหวัง เราไม่อยากให้ใครไปแบกเราไว้บนบ่าเขา ที่เขาต้องสร้างกรอบให้ว่าเราต้องเป็นแบบนี้ ปีนี้ได้ทำเต็มที่ ก็โดนด่าไปแล้วนิ มีอะไรจะต้องโดนอีก ทำให้เห็นเลยว่าฉันมาบทนี้ก็ได้ อาตมาเคยพูดว่ากระจกมี 6 ด้าน การที่เราเป็นด้านเดียวซึ่งมันไม่ใช่ตัวอาตมา แต่ก่อนอาตมาเคยหัวเราะแล้วต้องหลบไปหัวเราะหลังฉาก แต่วันนี้อาตมาเลือกที่จะหัวเราะหน้าฉากให้คุณเห็น เลือกที่จะสนุกก็ได้ คุณอยากให้เป็นธรรมะแบบเอนเตอร์เทนแบบนี้อาตมาก็ได้ ไม่จำเป็นต้องซีเรียสทุกครั้งไป
ในช่วงที่เป็นปรากฎการณ์ พระอาจารย์เริ่มใช้คำศัพท์ที่เข้าถึงคนมากขึ้น ก็จะมีแฟนคลับกลุ่ม LGBTQ โดยเฉพาะ และหลายๆ คำศัพท์มาจากพวกเขา อะไรที่ทำให้คลิกกับกลุ่ม LGBTQ
พระมหาไพรวัลย์ : อาจจะเป็นเพราะว่าในแฟนเพจอาตมามีกลุ่มคนหลากหลาย และในเฟชบุ๊คส่วนตัวก็จะมีเพื่อนที่เขาเป็นกลุ่มแบบนี้ แล้วอาตมาก็ตามเพจที่เขาเป็นกลุ่ม LGBTQ อยู่ด้วย เพจ VEEN เพจจ๊อกจ๊อก อาตมาก็สนใจว่าทำไมเขาจึงเป็นกระแสในสังคม ทำไมคนสนใจ แค่หนีบผมธรรมดาทำไมคนเข้าไปดูเป็นหมื่น เขาต้องมีคาแรคเตอร์อะไร มีอะไรที่คนเข้าไปดูแล้วรู้สึกชอบในความเป็นธรรมชาติ ความเป็นตัวตน พอเราเข้าไปดูโน่นนี่นั่นก็ซึมซับไปโดยอัตโนมัติเลย การใช้คำพูดของเขา รู้สึกว่าถ้าเราลองเอามาโพสต์บ้างล่ะ ลองเปลี่ยนจากการเป็นคนดูมาเป็นคนพูดซะเอง ใช้เป็นคำพูด ใช้เป็นสเตตัส คนจะให้ความสนใจไหม ซึ่งตอนแรกก็เตรียมใจไว้ว่าคงโดนถล่มอีกนั่นแหล่ะ ทัวร์คงมาจอดอีกว่าเป็นพระใช้ศัพท์แบบนี้ได้ยังไง ก็ก้าวข้ามครับ
จนมาถึงวันนี้พระอาจารย์ได้มีโอกาสทดลองปฎิบัติหรือใช้ชีวิตที่อาจจะไม่เหมือนพระรูปอื่นๆ พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่าทุกคนต้องเป็นแบบนี้ หรือทั้งหมดทั้งปวงไม่ว่าจะเป็นกฎกติกามารยาท มันเปลี่ยนไปเรื่อยๆ ตามกาลเวลาอยากให้ท่านแชร์ให้ทราบหน่อยว่ามุมมองของท่าน มองว่าอย่างไร ?
พระมหาไพรวัลย์ : จริงๆ อาตมามองว่าธรรมะของพระพุทธเจ้า เป็นอะไรที่สอดคล้องกับความเป็นธรรมชาติมากที่สุด แล้วเวลานึกถึงคำว่าธรรมชาติก็จะนึกถึงอะไรที่อยู่รอบตัวเรา ธรรมชาติที่เป็นทุ่งนาป่าเขาอะไรแบบนั้นไป ทีนี้ธรรมชาติที่สำคัญที่สุดก็คือตัวเราคือหนึ่งในธรรมชาติ ฉะนั้นธรรมะของพระพุทธเจ้าที่สอดคล้องกับธรรมชาติก็คือตัวตนของเรา ซึ่งแต่ละคนมีธรรมชาติความเป็นตัวตนไม่เหมือนกัน ธรรมะของพระพุทธเจ้ามีประโยชน์เพราะมันเข้ากันกับธรรมชาติของมนุษย์ทุกคน ทุกช่วงวัย อาตมาเชื่ออย่างนี้ตลอด ถ้าธรรมะเข้าได้กับคนบางกลุ่ม แสดงว่าธรรมะของพระพุทธเจ้ามันขัดกับธรรมชาติ ไม่เป็นธรรมชาติ ในเมื่อเราบอกว่าธรรมะเป็นธรรมชาติจะต้องใช้ได้กับทุกคน ทุกกลุ่ม ต้องเป็นที่ยอมรับได้ทั้งเด็กรุ่นใหม่ คนวัยกลางคน หรือวัยที่ผ่านกลางคนไปแล้ว ต้องได้หมด
ท่านเคยรู้สึกว่าเราไม่เหมือนใคร แล้วไม่เข้าใจตัวเองไหมในตอนที่เป็นวัยรุ่น ?
พระมหาไพรวัลย์ : ไม่มีไม่เข้าใจ เพราะว่าจะคิดหรือพูดอะไรเรามีเหตุผลรับรองในความคิด ในคำพูดของเราตลอด ไม่ใช่ว่าแย้งแบบเท่ๆ ขัดแบบไม่มีเหตุมีผล
รู้ว่าต้องอยู่กับปัจจุบัน แต่ท่านมีเป้าหมายหรือยังว่าหลังจากนี้ไปจะยังไงต่อกับชีวิต
พระมหาไพรวัลย์ : อาตมาไม่คิดการใหญ่ เลิกคิดการใหญ่มานานมาก แต่ก่อนตอนจบ เปรียญธรรม 9 มาใหม่ๆ คิดการใหญ่ อยากเป็นโน่นเป็นนี่ อยากเป็นใหญ่เป็นโต
เคยอยากมีวัดเป็นของตัวเองไหมครับ ?
พระมหาไพรวัลย์ : สมัยก่อนอาจจะคิดอย่างนั้น แต่ทุกวันนี้ไม่เคยคิดการใหญ่เลย สนุกกับการได้ทำอะไรแต่ละวัน พูดจริงๆ ไม่ได้เฟค คิดอย่างนี้มานานมาก ไม่คิดเลยว่าอนาคตจะเป็นอย่างไร อาจจะสึกก็ได้ วันหนึ่งอาจจะเป็นนายไพรวัลย์ก็ได้ และไม่วอรี่จริงๆ คิดแต่ว่าพรุ่งนี้มีอะไร คิดเป็นวันต่อวันเลย มันลดอะไรหลายอย่างลดความคาดหวัง ความกังวล ถ้าเราคิดอะไรใหญ่ๆ นั่น คือเราต้องคาดหวัง แล้วต้องแบกความคาดหวังว่าต้องทำให้ได้ ไม่สอนให้ใครคิดแบบนี้นะครับเพราะมันจะเป็นนิสัยที่ไม่ดีเพราะว่าทุกคนต้องมีเป้าหมาย ต้องอยากทำอะไรที่มันยิ่งใหญ่ แต่สำหรับอาตมารู้สึกว่าพอแล้วที่ตนเองได้มา พอแล้วจริงๆ
อยากให้กำลังใจทุกคนทุกท่านและนอกเหนือจากสิ่งที่เราควรมีหลายๆ อย่าง สิ่งหนึ่งที่หลายๆ คนอาจลืมไป บางทีเราขอพร ขอนั่นนี่เยอะแยะแต่เราลืมขออย่างหนึ่งคือ ขอให้เราเข้มแข็งมากขึ้นกว่านี้ อาตมาอยากให้ความเข้มแข็งแทนพรกับทุกคนทุกท่าน ให้ทุกคนยืนอยู่ได้ สู้ต่อให้ได้ มีพลัง เก็บพลังเอาไว้ไม่ว่าตอนนี้ที่มีอยู่จะมากหรือน้อย แต่เก็บพลังเอาไว้ เพื่อให้เป็นเชื้อวันไหนพร้อมเอาพลังที่มีอยู่สู้ต่อไป เป็นกำลังใจให้กับญาติโยมทุกท่านครับ
สามารถติดตาม Woody FM ได้ที่ช่องทาง Podcast : WOODY FM , Facebook: Woody, Youtube: Woody ทุกวันจันทร์ที่ 2 และ 4 ของเดือน เวลา 18.00 น.
สนใจหาข้อมูลและปรึกษาศัลยกรรมได้ที่นี่