ก้าวขึ้นมาเป็นลูกทุ่งหญิงแถวหน้าคนหนึ่งของสังคมไทย สำหรับ จ๊ะ คันหู หรือ จ๊ะ อาร์สยาม นงผณี มหาดไทย กว่าจะมีวันนี้ได้ เธอผ่านอะไรมามากมาย บันเทิงไทยรัฐออนไลน์ มีโอกาสได้พูดคุยกับเธอแบบเปิดอก มุมมองของสาวคนนี้ไม่ธรรมดา ตรงๆ ไม่แอ๊บ แต่แฝงด้วยมุมความคิดดีๆ ที่สำคัญ จ๊ะ จะมาเคลียร์ชัดๆ ทุกข่าวฉาวทั้งเกาเหลาใบเตย เสี่ยเลี้ยง ขายตัว และบอกกันตรงๆ ไปเลยว่าตลกดัง ตุ๊กกี้ โทรมาเคลียร์ปัญหากับเธอว่าอะไร เริ่มแรกกับประเด็นที่เธอไม่ยอมทิ้งอ่างทองมาอยู่กรุงเทพฯ
“คือที่หนูไม่มาอยู่กรุงเทพฯ เพราะทีมงานหนูอยู่อ่างทอง สุพรรณฯ ถ้าอยู่กรุงเทพฯ ก็ต้องวุ่นวายให้ทีมงานมารับ มันเหนื่อยนะเดินทางไปกลับ หนูชินเพราะเป็นอย่างงี้มาตลอด อยู่บ้านเราดีกว่า กรุงเทพฯ น่าเบื่อ รถติด เพื่อนก็ไม่มี เคยไปดูคอนโดฯ ในกรุงเทพฯ แต่ไม่ไหวนะ ซื้อไม่ลง ห้องหนึ่งล้านปลายๆ สองล้าน หนูว่ามันแพงไป ห้องนิดเดียว ไม่เอาหรอก บ้านในกรุงเทพฯ ก็ไม่เอาหรอก แพงเกิน”
แปลว่าเก็บเงินเก่งมาก ข่าวว่าทำงานไม่กี่ปี เก็บเงินได้ 18 ล้าน
“โห่ (หัวเราะ) พูดงี้เดียวภาษีมาหาหนูหรอก เดี๋ยวต้องเปลี่ยนเบอร์เลยแหละเพื่อนโทรมายืมตังค์วุ่นวายไปหมด หนูอยู่ 3 ปีตั้งแต่ดังจากคันหู ก็เก็บได้ประมาณหนึ่ง แต่ไม่ได้เยอะมากมายอะไร”
รับงานตอนนี้ หนึ่งโชว์คิดเท่าไร
“ตอนนี้จ๊ะขายเป็นวง 9 หมื่นบาท มีวงแบ็กอัพ ราคานี้ไม่รวมค่าเดินทาง ค่าที่พัก โชว์ 1 ชั่วโมง 20 นาที ถึงชั่วโมงครึ่ง ปกติคนอื่นเขาเล่นชั่วโมงเดียว หนูให้ไปเลยชั่วโมงครึ่ง ทุกวันนี้วิ่งเต็มที่เลยนะ 3 งาน ไปไกลอาจจะยากนิดนึง นอกจากขึ้นเครื่องไปเช้าเย็นกลับ”
ไม่เสียดายรายได้เหรอ น้ำขึ้นให้รีบตักนะ ทำไมไม่ลองย้ายมาอยู่กรุงเทพฯ จะได้รับงานได้มากขึ้น
“รายได้ไม่หายนะ เพราะงานหลักหนูคือร้องเพลง ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นต่างจังหวัดซะเยอะ หนูไม่ได้รับพิธีกร เล่นละคร อีเวนต์อะไรนี่ อย่างนั้นถึงต้องอยู่กรุงเทพฯ แต่ของหนูคือรับงานไปต่างหวัดรถตู้หนูก็อยู่บ้าน แดนเซอร์ วงหนูก็อยู่บ้าน เช้ามาเราก็รวมตัวกัน เย็นกลับมาก็นอน มันใช้ชีวิตง่ายกว่า แต่ถ้าหนูมาอยู่กรุงเทพฯ ปุ๊บรถตู้ต้องวนมารับมาส่งหนู ยุ่งยากตาย อีกอย่างห่วงพ่อแม่ด้วยเขาอยู่กันสองคน พ่อก็ขับรถไม่ค่อยแข็ง ถ้าจะต้องให้เขาคอยขับรถมาหาก็ลำบากพ่อกับแม่เปล่าๆ”
เรื่องเรียนตอนนี้เป็นไงบ้าง
“จบปริญญาตรีแล้วนะ แต่ปริญญาโทลาออกแล้ว เรียนไม่ไหว เพราะทำงานทุกวัน ไม่ได้ไปเรียนเลย แล้วต้องเรียนเสาร์อาทิตย์ ซึ่งเสาร์อาทิตย์ก็มีงานอีก สอบก็ไม่มีเวลาไป เพราะเรารับงานไว้ล่วงหน้า หนูเลยตัดสินใจลาออกก่อน กลัวไม่จบ ลงเรียนแล้วไม่ได้เรียนเสียดายตังค์ เดี๋ยวรอพร้อมอีกทีค่อยกลับไปเรียนใหม่ รอสมองพร้อมๆ ด้วยดีกว่า ตอนนี้สมองไม่พร้อมไปเรียนก็นั่งเอ๋อเหมือนหลับใน อาจารย์พูดไรก็นั่งเอ๋อ (ทำท่านั่งตาลอยอ้าปากหวอประกอบ) คือเรียนไปก็ไม่ได้อะไร ออกดีกว่า”
ทำงานขนาดนี้มีเวลาพักผ่อนมั้ย
“ไม่ค่อยมีหรอก บางทีเสร็จงานตีสาม เช้าก็ต้องตื่นไปรับงานเช้า ชีวิตเป็นงี้ตลอด ถามว่าเวลานอนมีมั้ย มีเวลาเดินทางจากจังหวัดนู้นไปจังหวัดนี้ แต่หนูก็ไม่นอนไง ติดเน็ต บนรถนี่เล่นเน็ตตลอด สไลด์ๆ (หัวเราะ)”
กับอายุ 23 ปี รู้สึกว่าเราทำงานเหนื่อยไปมั้ยกับอายุแค่นี้
“ถามว่าเหนื่อยมั้ย เหนื่อย แต่คิดกลับกันว่า หนูมีงานเยอะดีกว่าไม่มีงานทำเลยนะ ตอนหนูเรียนด้วยทำงานด้วย หนูบ่นกับพ่อว่า ทำไมชีวิตหนูไม่สบายเหมือนวัยรุ่นคนอื่น เด็กคนอื่นพ่อแม่ส่งเรียน งานก็ไม่ต้องทำ เขายังได้เรียนๆ เล่นๆ ของหนูส่งตัวเอง แถมงานยังหนักไม่ได้เล่นเลย พ่อหนูเลยสอนว่า หนูเล็ก(พ่อจ๊ะเรียกจ๊ะว่า หนูเล็ก) เราโชคดีที่เราเรียนและมีงานทำ บางคนจบไปแล้วเขายังไม่มีงานทำเลย พ่อหนูสอนให้คิดมุมกลับ เพื่อให้เป็นผลบวกกับชีวิตเรา เพื่อเป็นกำลังใจให้เรามีแรงทำต่อ หนูคิดเสมอว่า เราอายุ 23 เรามีงานทำ เรามีทุกอย่างเลยเพราะตัวเราเอง น่าภูมิใจจะตาย คิดอย่างนี้ดีใจมากกว่ามานั่งเหนื่อย”
คิดไหมว่าเราจะมาถึงจุดนี้
“(ส่ายหน้าทันที) ไม่คิดเลยสักนิด จากไม่มีอะไรเลย บ้านหนูไม่มีรถยนต์ แต่ทุกวันนี้มีสามสี่คัน ตอนนี้ไม่มีอะไรเดือดร้อนเลย ทุกอย่างเอื้อมาหาชีวิตเราหมด ทั้งสิ่งของ เงินทอง และสังคม จากเมื่อก่อน บ้านเราไม่มีอะไร คนไม่สนใจ พอมีปุ๊บ คนนู้นก็เข้าหา คนนี้ก็เข้าหา แต่เราก็ต้องมีขอบเขต เพราะหนูคิดเสมอว่า ตอนที่เราไม่มี ก็ไม่มีใครเข้ามาหาเรา”
ณ วันที่เป็น จ๊ะ เทอร์โบ วันนั้นยากลำบากขนาดไหน
“ต้องบอกก่อนว่า เริ่มแรกเลยไม่ได้อยู่เทอร์โบนะ ไม่ได้อยู่ประจำ คนจะคิดว่า จ๊ะอยู่ประจำเทอร์โบ ไม่ใช่นะ จ๊ะร้องฟรีแลนซ์ เป็นแค่นักร้องอิเล็กโทน ใครมาจ้างหนูก็ไป วงเล่นสดมาจ้างหนูก็ไป จนมาดังกับคลิปคันหู คนเลยคิดว่า หนูเทอร์โบ เอาจริงๆ เวลานั้นถามว่าลำบากมั้ย ก็ไม่ได้รู้สึกลำบากกัดก้อนเกลือกิน แค่เราไม่ได้มีเหมือนคนอื่นเขา ไม่มีรถยนต์ ไม่มีบ้านหลังใหญ่ๆ มีแค่บ้านเล็กๆ ต้องส่งตัวเองเรียน ทุกคืนหนูต้องไปร้องเพลง ถ้าสมมติไม่มีงานนอก งานเล่นสด งานอิเล็กโทน หนูก็จะไปลานเบียร์ กลับมาก็ตีสามตีสี่ เช้าก็ไปเรียน ชีวิตก็เป็นมาอย่างนี้ตลอด สมัยนั้นคืนหนึ่งได้ 500 บาท ร้องทั้งคืนไปตั้งแต่เย็นยันตีสี่ มันลำบากมากเหนื่อยสุดๆ
แต่ก็เป็นบทเรียนสอนหนูตลอดนะไม่ให้ลืมตัว เพราะว่าเมื่อก่อนได้ 5 ร้อยร้องทั้งคืน ไปรถเวทีลำบากลำบน กลับบ้านตีห้า เรายังทำได้ไม่บ่น ยังอยากทำทุกคืนๆ เพื่อได้เงิน 5 ร้อยทุกวัน วันนี้มีรถดีๆ มารับนั่งเครื่องบินไป ชั่วโมงกว่าได้ 9 หมื่นบาท เพราะฉะนั้น หนูจะไม่เรื่องมากบ่นเลย ไม่เคยมีว่าจ๊ะ อาร์สยามจะเลือกโรงแรม เลือกรถมารับ สมัยก่อนหลังเวทียังนอนได้ สองแถวยังไปได้ เพราะฉะนั้น ตอนนี้ถือว่าดีที่สุดแล้ว ซึ่งการไม่เรื่องมากนี้ก็เป็นผลดีกับหนูเอง เพราะเจ้าภาพก็พูดกันปากต่อปากว่าหนูไม่เรื่องมาก ทำงานง่าย เพราะฉะนั้น หนูต้องขอบคุณประสบการณ์ชีวิตที่เคยผ่านมาที่ให้บทเรียนหนู”
จากศูนย์เราควบคุมตัวเองอย่างไรไม่ให้หลงไปกับแสงสี สิ่งยั่วยุของวงการบันเทิง
“หนูคิดตลอดว่าเราเคยจน จะทำยังไงไม่ให้กลับไปจนอีก หนูกลัวมากนะความจนของหนู หนูก็เลยไม่ค่อยใช้ตังค์อะไร ตอนแรกอยากได้รถ MSX รถมอเตอร์ไซค์ที่มันแบบว่าห้าวๆ หน่อย อยากได้มากเลย หนูจะซื้อละ 7 หมื่นกว่าบาท ช่วงนั้นสติขาดมาก เขาลดให้หนูเหลือ 5 หมื่นกว่า โห้ลดเยอะเลย ต้องได้มา (หัวเราะ) แต่พ่อหนูพูดคำแรกเลย ถ้าหนูจะซื้อพ่อไม่ว่า แต่ ณ ตอนนี้เรามีตังค์แล้ว เราอยากได้อะไรเราซื้อปุ๊บ ถ้าต่อไปเราไม่มีตังค์ แล้วอยากได้อีก ทำไงล่ะ แล้วเราซื้อมาจะทำไรเหรอ มาจอดเหรอ โน้นสแมชพ่อก็มีนะ ลองขับดิ พ่อพูดแบบเนี้ย แล้วบอกว่าขับจริงๆ มีเวลาขับไหม
พ่อสอนตลอดว่า เราต้องไม่ใช่ว่าอยากได้อะไรแล้วต้องได้ ต้องคิดก่อนว่าได้แล้วเอามาทำอะไร เพราะเงิน 7 หมื่นมันเยอะนะ ถ้าเป็นเมื่อก่อนนะ แต่พอดังหน่อย โอ๊ยเงิน 7 หมื่นเอง พ่อบอกว่าคิดอย่างนั้นไม่ได้ ขนาดหนูได้รางวัลร้อยสองร้อย บางทีคนเรามีมุมที่ลืมตัวทุกวันนี้ได้รางวัลสี่ห้าร้อยไม่เก็บ รู้สึกเห้ย มันไม่เยอะเว้ย เพราะว่าเงินมันผ่านมือเราทุกวัน จนพ่อหนูเจอแม่หนูมาเจอ แม่หนูก็บอกว่าทำไมตังค์ไม่เก็บ เมื่อก่อนได้ 40 บาทเก็บอย่างดี เขาจะเตือนสติเราตลอด จนหนูจะซื้ออะไรราคาเริ่มต้นพันกว่าบาทก็คิดละ คิดตลอด”
แต่บางคนก็จะมองว่าเราทำงานเหนื่อย อยากได้อะไรต้องซื้อ ซื้อความสุข
“มุมนั้นก็มี แต่หนูไม่ใช้เรี่ยราดไง ซื้อรถ 2 ล้าน ซื้อบ้าน 2 ล้าน อะไรแบบนี้ซื้อได้”
สดหมดมั้ย
“ไม่ๆ ไม่สด (หัวเราะ) ก็คือถ้าทำไรก็ทำชิ้นใหญ่ๆ แต่รถน่ะมันไม่จำเป็นหรอก หนูมีอยู่แล้วใช่มั้ย แต่มันเป็นความอยากได้ ความฝันไง พ่อกับแม่ก็ไม่ว่า แต่ให้เลือกว่าหนูจะซื้อรถหรือคอนโด หนูก็เลยเออคอนโดก็ขับไปไหนไม่ได้ คนก็ไม่เห็น เออเอารถดีกว่า ขับไปไหนๆ คนจะได้เห็นอะไรแบบเนี้ย”
แล้วสรุปซื้อหรือเปล่ารถ
“ซื้อ ทุกวันนี้ก็จอดอยู่นะนั่น เพราะไปรถตู้ตลอด แล้วก็ไม่มีเวลาขับด้วย ทุกวันนี้หนูจะประกาศขายละ จอดนิ่งเลย (หัวเราะ)”
ใช้เงินส่วนใหญ่ทำอะไร
“ชอบดูเสื้อผ้าในอินเทอร์เน็ต สองร้อยกว่าบาท สามร้อยกว่าบาท อะไรแบบเนี้ย ชอบซื้อ”
ทุกวันนี้ จ๊ะ คันหู ก็ใส่เสื้อผ้าสองร้อยสามร้อยเหรอ
“ใส่ๆ (ไม่ใส่พวกแบรนด์เนมเหรอ) ไม่ค่ะ ซื้อไปเดี๋ยวทำให้เราเป็นนิสัยอีก ถ้าหนูซื้อแบรนด์นี้ปุ๊บ หนูกลัวว่าต่อไปหนูจะติดหรูเดินตลาดไม่ได้ละ เราไม่เริ่มเลยดีกว่า มีบ้างนิดหน่อย เวลาจะออกงานอะไรแบบเนี้ย แต่ไม่ใช่ว่าเราเริ่มปุ๊บแล้วไปเรื่อยๆ มันจะเคยตัว ตอนนี้ชีวิตเรามาถึงจุดนี้จริงอยู่ แต่คนเรามีลงนะตอนนี้เราทำเงินได้ ต่อไปทำเงินไม่ได้ แต่เราจะต้องใช้ของพวกนั้นตลอด มันก็ไม่ใช่ ผลสุดท้ายเราก็ต้องทำอะไร หาสามีรวย แต่หายากไง (หัวเราะ) มันไม่ได้เพราะด้วยปากหนู ปากแบบนี้ไม่เคยได้หรอก เคยมีคนมาชอบ โคตรรวยเลย คุยกับหนูได้วันสองวัน ไปเลย”
ทำไมล่ะ คุยอะไรกับเขา
“หนูเป็นที่แบบว่า ฮะโหล มีไรป่ะ ทำงานอยู่ อะไรแบบเนี้ย คือเขาไม่มีโอกาสได้พูด คือคนพวกนี้เขาจะแบบมีผู้หญิงมาเทคแคร์เขาตลอด ซึ่งมันคนละฟิลกับหนูมากๆ แล้วหนูก็คิดแล้วว่าชีวิตเราอยากได้อะไรเราทำด้วยตัวเองมาตลอด แต่ถ้าเกิดมีสามีรวย เราอยากจะได้อะไร เรางกไง เราอาจจะขอเขาแบบเนี้ย เห้ยพี่ขอตังค์ 2 หมื่นดิคิด 2 หมื่นอาจพูดไป 2 แสน (หัวเราะ) ดังนั้น เราก็คิดว่าไม่ดีกว่า เราก็มีตังค์อยากได้ก็ซื้อ แต่ถ้ามันไม่มีประโยชน์อะไรก็ไม่ต้องซื้อ ก็จบไม่ต้องมาแคร์ใครด้วย ใช้ชีวิตด้วยตัวเราเอง”
ดูเป็นผู้หญิงค่อนข้างแข็งแกร่ง
“แกร่งมาก เพราะหนูคิดว่า ถ้าสมมติวันหนึ่งหนูไม่ได้ร้องเพลง หนูก็ยังอยู่ได้ด้วยเงินในธนาคารหนู หนูไม่จำเป็นต้องง้อผู้ชายที่มาไม่ดีกับเรา แต่หนูไม่ได้มีเป็นร้อยล้านนะ ไม่ได้มีเยอะขนาดนั้น (ถึง 50 ไหม) ไม่ถึงๆ (20 ล่ะ) ไม่ถึงๆๆ คือหนูคำนวณเงินละว่า ทุกวันนี้ถ้าอยู่บ้าน ชีวิตค่าใช้จ่ายที่บ้านหนูคือ หนูให้พ่อแม่เดือนละ 3 หมื่น แต่ทุกอย่างในบ้านหนูออกหมด พ่อแม่ก็เอาเงินไปฝากอะไรแบบเนี้ย หนูทำรายได้เข้ามาเยอะก็เก็บ หนูคิดไว้แล้วถ้าต่อไปหนูไม่ได้ร้องเพลง ไม่มีคนจ้างหนูก็ลดค่าใช้จ่ายลง บริหารเงินเก็บไป”
แปลว่าจ๊ะ วางแผนชีวิตค่อนข้างดีเหมือนกันนะ
“ใช่ วางแผนแล้ว หนูไม่ประมาทกับชีวิต หรือประมาทในการใช้ตังค์เลย เพราะเงินเนี่ยสำคัญมาก วันที่เรามีเงินคนก็เข้ามาหาเรา ในวันที่ไม่มีเงินปุ๊บ นั่นแหละเราจะรู้ว่าใครที่รักเราจริง แล้วหนูก็คิดตลอดว่า คนที่รักเราจริงไม่พ้นพ่อแม่ญาติพี่น้องของหนูหรอก หนูมีพี่น้องสองคน มีหนูกับพี่สาวจะดีก็ดีกันอยู่สองคนแหละ ไม่ค่อยคบใคร ถามว่าคุยไหม ก็คุย แต่เราไม่ได้ให้ความสนิทมาก พอมีความสนิทมากก็จะมีแต่เรื่อง มีแต่ปัญหา หนูก็จะป้องกันตัวเองด้วยการเฉยๆ ไป เพราะหนูเป็นคนปากแบบนี้ด้วยไง บางทีหนูพูดกับเขาไปมันออกมาจากใจเรา แต่คนไม่เข้าใจ แบบไปสะกิดต่อมเขาหน่อยอย่างเนี้ย โอ้โห้ เยอะเลยก็ทะเลาะกัน”
ด้วยความเป็นคนปากไวแบบนี้หรือเปล่า เลยมีข่าวเกาเหลาออกมาค่อนข้างเยอะ
“หนูเป็นคนที่ปากสุดๆ หนูเป็นคนคิดนะแต่ไม่กรองเลย อะไรที่อยู่ในหัวหนู หนูพูดเลย เป็นคนพูดตรงมาก คือบางทีการที่เรามาอยู่จุดๆ เนี้ย เราต้องคิดละว่า พูดยังไงให้มันกระทบกระเทือนน้อยๆ ให้คำมันดูสวยหรู แต่หนูไม่ชอบการต้องประดิษฐ์คำพูดให้สวยหรู หนูไม่ชอบมากเลยค่ะ หนูเป็นคนที่ตรงมาก ทุกวันนี้เลยเลือกที่จะไม่พูดดีที่สุด พอเข้ามาอยู่ในวงการเราก็ต้องดูจากสิ่งแวดล้อมด้วย ถ้าเราเป็นคนตรงมันไม่ดีจริงๆ คนเรามันมีมุมที่ทั้งคนรักและคนไม่ชอบ เพราะฉะนั้น นิ่งๆ ดีกว่า”
เพราะอย่างนี้เลยมีข่าวเกาเหลากับ ตุ๊กกี้ และ ใบเตย
“อย่างพี่ตุ๊กกี้มันเกิดมาจากเพลง เมียหรือแม่ เพราะมันมีชื่อพี่ตุ๊กกี้อยู่ในนั้น มันก็เลยโยงกันไปโยงกันมา สุดท้ายเมียหรือแม่ก็เลยไม่ได้ออก คือเรื่องมันเกิดจากตรงนั้นจริงๆ”
อ้าวแล้วเพลงมันปล่อยมาแล้วนี่
“คือเพลงยังไม่ได้ปล่อย แต่ได้ฟังเพลงวันแรกกันในวันแถลงข่าว ซึ่งก็ต้องมีโชว์ และเพลงนั้น 90 เปอร์เซ็นต์ละที่จะต้องเป็นเพลงของหนู ที่หนูจะต้องออก แต่เพลงเมียหรือแม่ คือเนื้อเพลงมันเตี้ยอย่าง ตุ๊กกี้ แค่นั้นเอง เรื่องเลยเกิด หนูไม่ได้ออกเพลงนี้
แต่กับพี่เตยเนี้ย มันเกิดจากว่าอยู่ค่ายเดียวกัน คือเกิดแรกตั้งแต่หนูเข้ามาอาร์สยามละ ก็เลยคิดว่าเป็นข้อเปรียบเทียบ ค่ายเดียวกัน นุ่งสั้นเหมือนกัน แนวเพลงคล้ายๆ กัน อะไร ต้องไม่ถูกกันแน่ๆ ต่องมาแย่งกัน แบบคนนี้เคยยืนตรงนี้ คนนั้นต้องมาแย่งอะไรแบบเนี้ย คนคิดไปเอง ไม่มีหรอก คือถ้าหนูไม่ถูกกับใคร หนูว่าหนูก็นัดตบจบกันเลย ไม่ต้องมาด่าอะไรกันแบบนี้”
สรุปกับตุ๊กกี้มีปัญหากันจริงใช่ไหม
“ก็มีโทรมา พี่ตุ๊กกี้โทรมา คือเขาอยากเคลียร์ไง เขาเป็นคนตรง หนูก็ตรงเขาโทรมาเลย “จ๊ะ พี่ตุ๊กกี้นะ” “ตุ๊กกี้ไหนอ่ะพี่” “พี่ตุ๊กกี้อ่ะ ตุ๊กกี้ชิงร้อยชิงล้านอ่ะ” โหยตอนเขาบอกหนูดีใจมากเลย “จ๊ะให้ข่าวไรไปอ่ะ” “ฮะ ให้ข่าวไรไป” ตอนนั้นเพลงนิสัยฉันเปลี่ยนตามสันดานเธอ ยังไม่ออก นักข่าวจะรู้จักหนูไหมพี่ หนูอยู่หลุมไหนนักข่าวยังไม่รู้เลย เชื่อป่ะหนูยังไม่เคยเจอนักข่าวเลย หนูบอกหนูไม่รู้เรื่องเลยพี่ แล้วพี่เขาจะให้หนูไปเคลียร์ หนูเลยบอกว่าหนูไม่เคลียร์ เพราะหนูไม่ได้ให้ข่าว และหนูไม่รู้จักด้วยว่านักข่าวคนไหน ถ้าพี่จะเคลียร์พี่ไปเคลียร์เอง วันนั้นหนูกับพี่เขาก็คุยกันรู้เรื่อง เพราะเป็นคนตรงทั้งคู่ เขาก็จบ หนูก็จบ ทุกวันนี้ก็จบ”
ตั้งแต่วันนั้นเคยติดต่อกันอีกไหมกับตุ๊กกี้
“ไม่เคยเจอกัน ด้วยสายงานด้วยล่ะ เลยไม่ต้องเจอ”
แต่กับใบเตยก็ไม่มีอะไร
“กับพี่เตยเจอกันบ่อยมาก ล่าสุด ก็ทำเพลงด้วยกัน ซ้อมเต้นก็ซ้อมด้วยกัน”
แต่วันถ่ายเอ็มวีแบบหน้าเราเซ็งๆ มากเลยนะ
“หน้าหนูเซ็งตลอดนะ (หัวเราะ) คือจริงๆ คืนก่อนวันถ่ายเอ็มวีหนูไปเล่นงานมาหนูเลิกตี 2 แต่ตี 4 หนูต้องมากอง และตั้งแต่ตี 4 จนตอนนั้นหนูยังไม่ได้นอน แล้วหนูอัดกาแฟ 3-4 แก้ว ง่วงมาก และไปสัมภาษณ์ตรงกลางแดด ตาหนูจะปิด คือหนูไม่มีอะไรจริงๆ แต่คนมันจับผิดว่าแบบมันไม่ถูกกันแน่เลย ปกติจ๊ะมันจะแบบหน้าเฟรนด์ลี่ตลอด แต่นี่ไม่ไง คือมันง่วงมากจริงๆ พอคนมันง่วง ประสาทก็ไม่ค่อยสั่งงาน ถามไรก็ไม่ตอบแบบเนี้ย มันก็เป็นผลพวงไปหมด ถ้ามีจริงๆ นะหนูก็บอกว่ามีเลย เรื่องจะได้จบๆ ไป นี้ไม่มีแต่ข่าวก็ไม่จบ อ้าวมีข่าวอีกละ มีข่าวอีกละ คือถ้ามีปุ๊บหนูพูดเลยว่ามีค่ะ จะได้จบไปเลย ไม่ต้องมาเป็นข่าวอีก เพราะมันไม่ใช่ข่าวดีนะ ไปเกาเหลากะคนโน้นคนนี้ สรุป_ึงนิสัยไม่ดีใช่ไหมไปทะเลาะกับคนอื่น”
ตอนนี้กลายเป็นจ๊ะ โมเดลไปแล้ว แรงแล้วดัง
“หนูว่ามันเกิดมาจากทำนม คนเลยดูว่าแรง เพราะหนูทำนมแล้วหนูก็นอนอัพรูป คือเรื่องของเรื่องหนูติดอินเทอร์เน็ต แล้วแบบทำนมปุ๊บ แล้วมันไปไหนไม่ได้ต้องนอนอย่างเดียว หนูก็เลยถ่ายรูปแล้วก็อัพ หนูไม่ได้คิดอะไรไง ไม่มีการสร้างกระแสอะไรเลย เพราะหนูคิดว่ามาถึงจุดๆ นี้มันเกินความฝันละ จะไปสร้างทำไม หนูมีงานทุกวันอยู่แล้วใช่ป่ะ แล้วสร้างไปไม่ใช่จะดีนะ คอมเมนต์มาเต็ม ชีวิตยับเยินโดนด่าเยอะแยะ พอทำนมก็เลยจุดประเด็นมาจากตรงนั้นว่าหนูเป็นคนที่ตรง แรง แล้วก็แรงตรงที่ว่าทำไรก็กล้ายอมรับ แล้วด้วยคำพูดของหนู ไม่ค่อยมีค่ะ มีค่ะ และน้ำเสียงหนูแข็ง พร้อมมีเรื่องตลอดแหละ บางทีพูดเสียงธรรมดานะพี่ อะไรนะพี่อะไรแบบเนี้ย (ทำเสียงแข็งๆ ตามสไตล์) แต่เปล่าหนูถามปกติเลยว่ามีอะไรค่ะ ด้วยเสียงคนก็เลยคิดว่าจ๊ะเนี้ยเป็นคนแรง ถามว่าหนูแรงไหม ก็ถ้าใครไม่ทำไรหนูก่อนหนูก็ดี แต่ถ้าใครมาทำไรเรา ก็แหลก ในไอจีใครมาด่าหนูนะหนูด่าตอบเลย ด่าแหลกด้วย”
เรื่องศัลยกรรม จ๊ะ ยืนยันตลอดว่าไม่ได้ทำ
“นอกจากนม หนูไม่ได้ทำอะไร และจะไม่ทำแล้วด้วย หนูไม่ได้เข็ดความเจ็บ เพราะหลังเจ็บหนูแฮปปี้มากมีนม (หัวเราะ) แต่ที่ไม่อยากทำเพราะการศัลยกรรมไม่ใช่ความคิดหนู แต่นมที่ทำนี่ เพราะอยากมีนมมาตั้งแต่ยังไม่ได้เป็นนักร้องดัง เพราะไม่มีนมเลย มีแต่หัวนมอเนจอนาถมาก”
แต่สวยขึ้นมากเลยนะ ไม่น่าเชื่อว่าจะไม่ทำ
“แต่งหน้าไง ลองไม่แต่งหน้าสิดูไม่ได้ หนูรู้จักเทคนิคการแต่งหน้า แล้วจัดฟันก็มีผลเยอะ แล้วก็โบทอกซ์หน้าเนี่ยแหละ เออๆ มีฉีดหน้าเรียว นี่ก็ศัลยกรรมเนอะ (หัวเราะ) เพราะหน้าหนูบานมาก ต้องฉีดนะอยากเรียว ฉีดกรามค่ะ เมื่อก่อนเจ็บมากเดี๋ยวนี้ฉีดไม่เจ็บละชิน แต่ก่อนหน้าบานมาก หน้าแก่มามาตั้งแต่กำเนิด ที่เห็นในรูปอายุ 15-16 มันอ้วนไง ตอนนี้เรียวละ (หัวเราะ) เอารูปมาให้ดูนี้ไม่ได้ปิดบังไง ถ้าทำหนูก็บอกว่าทำ”
สวยขึ้นอย่างนี้ น่าจะมีผู้ชายเข้ามานะ
“เยอะมากเลย (ยิ้มกริ่ม) แต่ยังไม่เลือกใครนะสวยมั้ย (ยิ้ม) ไม่หรอก ชีวิตหนูเพิ่งจะอายุ 23 เอง แล้วผู้ชายที่เข้ามาในชีวิตหนูชอบบงการ ไม่อยากให้คอนเสิร์ตโป๊มาก ไม่อยากให้นู้นให้นี้ ซึ่งมันไม่ใช่ไง ก็รู้อยู่แล้วว่านี่อาชีพ หนูเกิดมาจากคันหู มันเลี่ยงไม่ได้ นี่ขนาดทุกวันนี้ไม่โป๊ขนาดนั้นนะ แต่ผู้ชายมันก็มีอารมณ์หึง หนูก็รู้สึกว่ายังไม่ต้องรีบหรอก ถ้าจะทำให้งานเรายุ่งยาก หนูไม่ชอบให้ใครมาก้าวก่ายชีวิตหนูเกินไป ทุกวันนี้เราทำงานก็เหนื่อยละ ยังจะมาเจอผู้ชายจู้จี้ จุกจิกอีกไม่ชอบ”
ทุกวันนี้ จ๊ะ มีความสุขกับชีวิตแค่ไหน
“มาก ถามว่ามาอยู่ในวงการมีเรื่องปวดหัวมั้ย มี (เสียงสูง) เรื่องอิจฉาริษยามีทุกที แต่หนูบอกตัวเองเสมอว่าชีวิตหนูไม่น่าจะมีวันนี้ จากไม่มีอะไรเลย มามีวันนี้ได้ เพราะฉะนั้น เราจะมานั่งทุกข์ทำไม ปล่อยไปทุกอย่าง จะเอาเรื่องคนอื่นพูดมาใส่หัวเราทำไม หนูขอใช้ชีวิตยังไงก็ได้ให้มีความสุข ทุกวันนี้มีชื่อเสียง เงินทอง มีรถให้พ่อแม่นั่ง มีบ้านให้พ่อแม่อยู่ พ่อแม่หนูสบายพอแล้ว ตอนนี้ทั้งหมดถือเป็นกำไรชีวิต”
ข่าวไม่จริงที่ออกมาแล้ว ทำให้รู้สึกชีวิตแย่มีมั้ย
“เรื่องเกาเหลากับพี่ใบเตย เพราะมันไม่จริง ไม่ได้มีการสร้างกระแสอะไรทั้งนั้น หนูถือว่าหนูมีวันนี้ได้ด้วยดวงและโอกาส ไม่จำเป็นต้องสร้างกระแส”
แล้วข่าวจ๊ะ คันหูมีเสี่ยเลี้ยงล่ะไม่เซ็งเหรอ
“โด่เมาท์มอยตะหอยเข็บ ไม่มีแน่นอนล้านเปอร์เซ็นต์ คือคุณบอกหนูมีเสี่ยเลี้ยง คุณไปเอารูปเสี่ยนั้นมาเลย ใครที่บอกมีหลักฐานเอาออกมาให้หมด แล้วมาเอาตังค์ที่หนูไปเลยล้านนึง จบมั้ย คนไม่มีจะให้บอกว่ามีหรือไง ถ้ามีแล้วจะบอก คนอย่างหนูใครที่มีเมียแล้ว มีครอบครัวหนูไม่เอา เพราะกว่าหนูจะมาถึงจุดนี้ได้คุณรู้มั้ยลำบากแค่ไหน แล้วจะให้หนูเข้าไปยุ่งผัวคนอื่นนี้ไม่เอาเลยนะ บอกเลยนะว่าทุกวันนี้ไม่ต้องมีผู้ชายมาเลี้ยงหนูก็อยู่ได้”
ตอนคลิปคันหูแรกๆ โดนมองขายตัวด้วย
“โดนเยอะมาก ขอพูดหน่อยเถอะ ถ้าหนูขายตัวหนูจะไปร้องเพลงให้เหนื่อยทำไม อาชีพขายตัวไม่ต้องร้องเพลงนะ คุณก็รู้ว่าขายตัวต้องไปทำอะไร จะมาเสียเวลาร้องเพลงให้เหนื่อยตายทำไม คนเราลืออะไรก็ต้องคิดบ้าง แต่หนูไม่โกรธคนที่เขาคิดนะ เพราะหนูได้กลับไปดูตัวเองในยูทูบคลิปคันหูละ มันก็เหมือนอยู่นะ (หัวเราะ) แต่ทุกวันนี้รูปพวกนั้นหนูก็ไม่ลบนะเก็บไว้เตือนตัวเองว่าชีวิตเราผ่านอะไรมาบ้าง จะได้ไม่ลืมตัว ทุกวันนี้หนูไม่สนใจหรอกใครจะมองเรายังไง หนูมองคนที่รักหนู เราแคร์คนพวกนี้ดีกว่า เขารู้ตัวตนของเราจริงๆ”
ทุกวันนี้ เด็กๆ เห็นจ๊ะเป็นไอดอลเยอะมาก ต้องระวังตัวเองมากขึ้นมั้ย
“ต้องขอบคุณผู้ปกครองที่อนุญาตให้หนูเป็นไอดอลลูกเขา (หัวเราะ) แต่หนูอยากบอกเด็กๆ ว่าอย่ามองหนูแค่บนเวที เพราะมันไม่ใช่ภาพที่สวยงาม แต่อยากให้เรียนรู้ชีวิตหนูว่า ชีวิตหนูจากศูนย์มาอยู่ตรงนี้ได้ไง ที่สำคัญเลยถ้าเห็นหนูเป็นไอดอล ต้องกตัญญูต่อพ่อแม่ หนูว่าหนูประสบความสำเร็จได้เพราะกตัญญูต่อพ่อแม่ หนูจะเลวกับใครก็แล้วแต่ หนูทำอะไรหนูไม่เคยไม่นึกถึงความรู้สึกพ่อแม่ ตอนคลิปคันหูออกมาหนูไม่สนใครเลย สนแค่ว่าพ่อแม่หนูจะรู้สึกยังไง หนูกลัวพ่อแม่เสียใจมาก ซึ่งพ่อแม่หนูก็โทรมาบอกหนูว่า หนูเล็กกลับมาบ้านเราเถอะลูก ไม่มีใครเข้าใจเราเท่าตัวเราเองและพ่อกับแม่ เท่านั้นหนูจบ อยากบอกน้องๆ ว่าการกตัญญูต่อพ่อแม่สำคัญจริงๆ”
ไม่ลืมตัวอย่างนี้ การันตีได้ว่า จ๊ะ คันหู จะเป็นศิลปินที่อยู่ได้นาน.