การทำ Dermolift เป็นการดึงหน้าโดยไม่ต้องผ่าตัดชนิดหนึ่ง ประเภทที่ทางการแพทย์เรียกว่า Non-Surgical Face Lift. กระทำโดยการฉีดยากลุ่ม Botulinum Toxin TypeA (Type อื่น เช่น Type B อาจทำได้เหมือนกัน) เข้าไปในชั้นผิวหนังแท้ ถ้าฉีดไปในหนังแท้ชั้นบนจะเห็นผลผิวหนังหดตังเต่งตึงได้เร็วตั้งแต่เริ่มๆฉีดเช่นภายใน10นาที ถ้าฉีด ในชั้นลึก ผลเห็นผิวหนังหดตัวเต่งตึงช้ากว่า แต่ผลจะอยู่นานกว่า
ถึงแม้จะเป็นการใช้ยากลุ่ม Botulinum Toxin Type A (BTA) เหมือนกันแต่ต่างกันมากพอสมควร
1. ส่วนผสม จะแตกต่างจาก การฉีดแบบโบท๊อกซ์ เพื่อให้เกิดการกระจายของยาไปสู่เซลล์ของหนังแท้ ส่วนผสมของDermoLift ขึ้นอยู่กับสูตรการผสมของแต่ละสถาบัน ส่วนผสมยาของโบท๊อกซ์ค่อนข้างเหมือนกันคือ 100 ยูนิตต่อ น้ำเกลือ2.5 ซีซี
2. วิธีการฉีด โบท็อกซ์ฉีดเข้ากล้ามเนื้อ ส่วนDermolift เป็นการฉีดเข้าผิวหนังชั้นหนังแท้
3. การออกฤทธิ์ สำหรับการฉีดแบบโบท๊อกซ์ จะฉีดเข้ากล้ามเนื้อ เพื่อยับยั้งการหลั่งสารนำประสาทที่เรียกว่าอะเซ็ตไตล์โฆลีนที่ทำให้ กล้ามเนื้อหดตัว เมื่อไม่มีสารตัวนี้กลเามเนื้อจึงคลายตัว ถ้าฉีดรอยตีนกา ตีนกาก็ลดลง ฉีดรอยย่นที่หน้าผาก รอยย่นก็จางลง หากฉีดกราม หน้า ก็เรียวลงเป็นต้น การฉีดแบบโบท๊อกซ์นี้ อาจเกิดปัญหาเรื่องหนังตาตก คิ้วตก คิ้วโก่ง ปากเบี้ยวได้
ส่วนการฉีดแบบ Dermolift ซึ่งเป็นการฉีดเข้าไปในชั้นหนังแท้นั้นมีกลไกออกฤทธิ์ อยู่ 2 ระยะระยะที่เกิดขึ้นทันที หลังจากฉีดประมาณ 10-20 นาที ผิวหนังจะหดตัวทันที ทำให้ใบหน้าบริเวณที่ฉีดเต่งตึงขึ้น ผิวหนังบริเวณที่ฉีดจะบวมขึ้นเล็กน้อย ส่วนผิวหนังที่อยู่ระหว่างจัดที่ฉีดจะถูกดึงให้ยุบลง ที่เป็นเช่นนี้ มีผู้เชี่ยวชาญได้อธิบายว่า เซลล์ในชั้นหนังแท้นั้น ในส่วนของไซโตพลาสซึ่มของเซลล์มีส่วนของเส้นใยเล็กๆที่เรียกว่า ไมโครฟิลาเมนต์
Microfilament เป็นเส้นใยเล็กๆที่สานกันเพื่อทำให้เซลล์มีรูปร่างขึ้น ซึ่งเซลล์ของผิวหนังเป็นเซลล์รูปสี่เหลี่ยมsquamous cell ตอนเด็กๆ หนุ่มๆ สาวๆ micro filament ก็จะค้ำยันเหมือนเสาบ้านทำให้เซลล์ทรงรูปสี่เหลี่ยมตั้งสูง ผิวดูเต่งตึง พออายุมากขึ้น ไมโครฟิลาเมนต์ยืดและล้มเอียงลง รูปทรงของเซลล์ก็ล้มเหมือนเสาบ้านเอียงล้มลง ผิวหนังจึง ยืดยาน เขาเรียกระบบโครงสร้างของเซลล์นี้ว่า Cycloskeletal structure ไซโคลสเคเลตัล สตรัคเจอร์ ครับ เมื่อฉีดยา BTA เข้าไปในชั้นหนังแท้ จะทำให้ไมโครฟิลาเมนต์หดตัว ค้ำยันให้รูปร่างของเซลล์ที่ล้มนี้ตั้งขึ้น ผิวจึงดูเต่งตึงขึ้น อันนี้เกิดขึ้นทันที เป็น immediate reaction. เราใช้ปรากฎการณ์อันนี้มาเป็น marker ที่จะปรับรูปร่างของส่วนต่างๆของใบหน้าว่าเข้าที่สวยตามต้องการหรือยัง หลังจากนั้น ก็จะค่อยๆคลายตัวลง ต่อจากนั้นประมาณสองสัปดาห์จะเริ่ม เข้าสู่ระยะที่สอง
ระยะยาว บางคนเรียกว่าระยะ Delayed Effect เป็นระยะที่ยาไปกระตุ้นให้เซลล์ผิวหนังให้สร้างคอลลาเจน ซึ่งทำให้ผิวหนังแข็งแรง อีลาสติน ทำให้ผิวหนังมีความยืดหยุ่นและแมตตริก ทำใหผิวหนังมีน้ำมีนวลหนาตัวขึ้น ระยะนี้จะสร้างอยู่ถึง4เดือน หลังจากนี้ถ้าฉีดอีกครั้งผิวจะหนาขึ้นอีกทำให้ชะลอการฉีดครั้งต่อไปได้อีก6-12เดือน ประสบการณ์การฉีดDermolift ร่วมกับการฉีดโบท็อกซ์ในบางตำแหน่ง แล้วแต่ข้อบ่งชี้นี้ได้ผลดี ผลข้างเคียงน้อยและอยู่นานกว่าการฉีดเข้ากล้ามอย่างเดียว หรือฉีดเข้าผิวหนังอย่างเดียว จำนวนของยาในแต่ละตำแหน่ง จำนวนจุดที่จะฉีด ตำแหน่งที่จะฉีด ความลึกในแต่ละตำแหน่งที่จะฉีด มีผลต่อผลของการฉีดเป็นอย่างมาก
ความเชี่ยวชาญของแพทย์ผู้ฉีดจึงมีผลต่อผลลัพท์ของการฉีดอย่างมากเราใช้หลักการนี้มาปรับรูปหน้าในรายละเอียดได้ เช่น ทำให้หน้าผากดูกว้างโหนกนูน คิ้วสูงขึ้น ตาดูเปิดกว้าง โหนกแก้มที่สูงดูเรียบขึ้น หน้าเรียว คางแหลมขึ้นเป็นต้น และยังสามารถใช้ปรับ รูปร่างส่วนอื่นๆ ของร่างกาย เช่นหน้าอกก้น น่องเป็นต้น โอกาสที่จะมีคิ้วตกปากเปี้ยว คิ้วโก่ง น้อยมากเมื่อเทียบกับการฉีดเข้ากล้ามแบบโบท๊อกซ์ที่เกิดผลข้างเคียงดังกล่าวเนื่องจากยาไหลเข้าไปในชั้นกล้ามเนื้อ ที่เป็นไปได้น้อยเพราะฉีดแต่ละจุดใช้ยาน้อยมากประมาณ 0.05 iu. ส่วนการฉีดแบบโบท๊อกซ์ใช้ยาจุดละ 1-10 iu
4. ระยะเวลาของผลการฉีด การฉีดเข้ากล้ามแบบโบท๊อกซ์ ผลการคลายตัวของกล้ามเนื้ออยู่นานประมาณ 3-4 เดือน ส่วนการฉีดแบบ Dermolift ผลอยู่นานในครั้งแรกประมาณ 4-6 เดือน ครั้งที่สอง ประมาณ 6-12 เดือน อย่างน้อยควรฉีดซ้ำสัก 6-12 เดือนครั้งเพื่อทำให้ใบหน้าดูเป็นหนุ่มสาวอยู่เสมอ แต่ละปีที่ผ่านไป จะรู้สึกว่าดูหนุ่มขึ้นกว่าเพื่อนๆรุ่นเดียวกันที่ไม่ได้ฉีดแบบนี้
ดังนั้นเพื่อให้เกิดความปลอดภัย และให้ได้ความสวยงามที่สุดในปัจจุบันจึงใช้วิธีฉีดแบบ Dermolift และใช้ฉีดเข้ากล้ามในบางตำแหน่งเท่านั้น ส่วนจะทำอย่างไร เป็นศิลปะของแพทย์แต่ละท่านครับคนไม่ใช่แพทย์ที่ไม่ได้รับการฝึกฝนเป็นอย่างดี ไม่น่าจะทำได้นะครับ และอาจมีอันตราย
ผิวหนังปกติก็จะเสื่อมยืดหย่อนตามกาลเวลาอยู่แล้วเหมือนสิ่งมีชีวิตทั่วๆ ไป แต่การฉีด Dermolift ทำให้ผิวหนังเยาว์วัย หดตัวหนาขึ้นกว่าเดิม ยานั้นใช้เพียงกระตุ้นให้เกิดกระบวนการเปลี่ยนแปลงเท่านั้น หลังจากสองสัปดาห์ยาก็สลายไปแล้ว ที่เหลือเป็นกระบวนการสร้างของผิวหนังตามธรรมชาติ เมื่อสร้างเสร็จก็เข้ากระบวนการเสื่อมตามปกติ ยกตัวอย่างเช่นเดิมผิวหนังยืดยาว 10 ซม. หลังขากฉีด Dermolift ผิวหนังหดมาเหลือ 6 ซม. พอ 1 ปี 2 ปี 3 ปีผ่านไปผิวหนังก็จะยืดออกเช่นปีละ 1 ซม. ผิวก็จะยาวยืดเป็น 7 ซม. 8 ซม. 9 ซม. ไปเรื่อยๆเป็นต้น ส่วนคน ไม่ได้ทำอะไรกับผิวหนัง เดิมยาว 10 ซม. ปีต่อไปก็จะยืดยาวเป็น 11 ซม. 12 ซม. 13 ซม. เป็นต้น นี่เป็นตัวอย่างเท่านั้นนะครับ
ก็เหมือนอะไรๆ ในชีวิตของเรานั่นแหละครับ เราต้องเอารถยนต์เข้าอู่ซ่อมแซมเป็นระยะๆ เราต้องไปตัดผม เสริมสวยเป็นระยะๆ เราต้องออกกำลังกาย ไปตรวจเช็คสุขภาพเป็นระยะๆ ฯลฯ อีกเป็นอันมากในชีวิตประจำวันของเรา ดังนั้นเพื่อให้ผิวเต่งตึงเยาว์วัยอยู่เสมอควรฉีด Dermolift ปีละครั้ง
หากฉีดถูกวิธีโดยแพทย์ผู้ชำนาญ โอกาสจะเกิดปัญหาเช่น ตาตก คิ้วตก ปากเบี้ยว หน้าไม่เท่ากัน จะพบน้อย ซึ่งหายได้เองหลังฉีด 2-3 เดือน หากเกิดอาการเหล่านี้อาจมีการฉีดแก้ได้ แต่รอให้หายเอง น่าจะดีกว่า บางทียิ่งแก้ยิ่งแย่ ส่วนเลย 3 เดือนไม่หาย ไม่น่าเกิดจากยาแล้วนะครับ เพราะยาหมดฤทธิ์ไปแล้ว อย่าไปโทษคุณหมอเขาเลย ต้องสำรวจโรคประจำตัวของตนเองเช่น เส้นเลือดตีบตันในสมองทำให้กล้ามเนื้อหน้าด้านหนึ่งอ่อนแรง คิ้วตกตาตกปากเบี้ยว หรืออาจเกิดจากโรคอื่น เช่นBell’s Palsy หรืออาจเกิดจากฟันไม่สบกันดีหน้าจึงไม่เท่ากัน อะไรทำนองนี้ หลายคนไม่รู้ว่าตัวเองหน้าไม่เท่ากัน เริ่มสำรวจความเท่ากันของใบหน้าตนเองนะครับ โดยเฉพาะคนอายุ40ขึ้นไปนะครับ
1. บำรุงผิว ด้วยมอสเจอไรเซอร์ กันแดด
2. ออกกำลังกายสม่ำเสมออย่างน้อยสัปดาห์ละ3วัน
3. ทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ พอเพียง
4. พักผ่อนให้เพียงพอ
5. อารมณ์แจ่มใส มีสมาธิ
6. จิตใจดี มีความสุข
บทความโดย นพ.สถาพร จินารัตน์ (Director)
Renovia-ABLS Training Center for
The American Board of Laser Surgery in AEC
สำนักงานใหญ่เซ็นทรัลพระราม 9 : โทร. 02-108-3285-7
สาขาเชียงใหม่ : นิ่มเดลี่ซิตี้ (ชั้น 2) : โทร. 053-271-688
สาขา Central Festival Phuket East (ชั้น 1) : โทร. 092-275-9422
e-mail : [email protected]
Website : www.renoviaclinics.com