ที่มา: Matichon Online

นพ.พิรัตน์ โลกาพัฒนา หรือ หมอแมว แพทย์แผนกอายุรกรรม เจ้าของเพจดังความรู้สนุกๆแบบหมอแมว ได้ให้ความรู้เกี่ยวกับการใช้ยาไมเกรนบรรเทาอาการปวดศีรษะผิดวิธี โดยระบุว่า 

ไมเกรนเป็นโรคปวดหัวชนิดหนึ่งที่พบไม่บ่อยแต่พบได้เรื่อยๆ ปัญหาในประเทศไทยคือ หลายคนเรียกโรคนี้ว่าปวดหัวข้างเดียว ทำให้เกิดการเหมาไปว่าหากปวดหัวข้างเดียวแปลว่าเป็นไมเกรน ทั้งที่ความจริงแล้วปวดหัวข้างเดียวส่วนใหญ่เกิดจากการปวดกล้ามเนื้อหรืออวัยวะที่อยู่รอบๆ ศีรษะ 

113

ยาในกลุ่ม Ergot ซึ่งใช้รักษาไมเกรนที่กินยาแก้ปวดชนิดอื่นไม่หาย เป็นยาที่รักษาไมเกรนได้ แต่ก็มีผลข้างเคียงที่ต้องระวังคือ มันมีฤทธิ์หดหลอดเลือดได้ ดังนั้น ในกรณีได้ยามากเกินไปหรือยาออกฤทธิ์มากเกินไป ก็จะเกิดผลข้างเคียงรุนแรงได้ เช่น แขนขาขาดเลือดจนต้องตัดทิ้ง หรือ เส้นเลือดสมองตีบ

โดยยาที่มีผลเสริมฤทธิ์ของยากลุ่ม Ergot ก็ได้แก่

1. Protease inhibitor เป็นยาต้านไวรัสเอชไอวี
2. ยากลุ่มฆ่าเชื้อราชนิดรับประทาน
3. ยาฆ่าเชื้อในกลุ่ม Macrolide เช่น Clarithromycin
4. น้ำGrapefruit (ซึ่งทำให้อาจจะต้องระวังน้ำส้มโอไปด้วย)
5. ยาต้านอาการซึมเศร้าบางชนิด เช่นfluoxetine (บางตัวอยู่ในยากลุ่มที่ใช้ลดความอ้วน)

ปัญหามักจะไม่เกิดในโรงพยาบาลที่มีระบบสั่งจ่ายยาที่เข้มงวดเพราะว่าพอแพทย์สั่งยาไปแล้วเภสัชตรวจย้อนกลับไปว่ามีการสั่งยาErgotแก้ปวดไมเกรนก่อนหน้านั้นก็จะระงับการสั่งจ่ายยาแล้วให้แพทย์พิจารณายาใหม่

แต่สำหรับบางกรณีที่มีการเก็บยาเอาไว้กินเองโดยไม่ได้แจ้งหรือปวดหัวแล้วไปซื้อยามาเก็บไว้กินเองก็มีความเสี่ยงที่จะได้ยาใน5กลุ่มข้างบนไป แล้วกินไปพร้อมกัน จนเกิดผลข้างเคียงได้ บางรายถูกตัดแขนขา บางรายเป็นอัมพาต

ดังนั้น หากปวดหัว ไม่ควรซื้อยาไมเกรนมากินเอง หากป่วยไม่สบายไปรักษา โปรดแจ้งเภสัชและแพทย์เสมอว่ากินยาอะไรอยู่ เพื่อไม่ให้เกิดผลข้างเคียงที่น่ากลัวจนถึงชีวิตนี้ได้ 

เรื่องน่าสนใจ