เสนอข่าวโดย โดดเด่นดอทคอม
ภาพ โดดเด่นดอทคอม
หากพูดถึงยารักษาโรคนั้นต้องบอกว่าปัจจุบันยังเป็นปัญหาสังคมไทย เพราะยาต่างๆ มีสิทธิบัตรจากฝรั่งทำให้ต้องจ่ายเงินซื้อยาแพงๆ จำนวนมาก
ล่าสุดผู้สื่อข่าว เว็บไซต์ โดดเด่นดอทคอม ( www.dodeden.com ) รายงานว่า พญ.สมลักษณ์ จึงสมาน รองคณบดีฝ่ายบริหารทรัพยากรบุคคล คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ซึ่งมีความเชี่ยวชาญทางด้านต่อมไร้ท่อและเมตตะบอลิสม (เบาหวาน)
ทั้งนี้ พญ.สมลักษณ์ ศึกษาประสิทธิผลของแคปซูลสารสกัดขมิ้นชันที่ผลิตโดยองค์การเภสัชกรรมต่อการลดภาวะหลอดเลือดแข็งตัว และควบคุมภาวะเมตะบอลิกในกลุ่มผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2
ซึ่งพบว่าผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 ที่ได้รับแคปซูลสารสกัดขมิ้นชันจำนวน 3 แคปซูล 2 ครั้งต่อวัน เป็นเวลา 6 เดือน สามารถลดภาวะการแข็งของหลอดเลือด และภาวะเสี่ยงต่อโรคหัวใจ และหลอดเลือดได้ดีกว่ากลุ่มที่ไม่ได้รับแคปซูลสารสกัดขมิ้นชันอย่างชัดเจน และยังสามารถลดระดับไขมันร่างกายทั่วไป
พญ.สมลักษณ์ ได้ทำการวิจัยในประชากรกลุ่มที่มีความเสี่ยงที่จะเป็นเบาหวาน จำนวน 240 คน โดยแบ่งเป็น 2 กลุ่มคือ กลุ่มที่ได้รับยาหลอก และกลุ่มที่ได้รับแคปซูลสารสกัดขมิ้นชัน 3 แคปซูล 2 ครั้งต่อวัน เป็นเวลา 9 เดือน
พบว่าหลัง 9 เดือน 16.4% ของกลุ่มผู้ที่ได้รับยาหลอกได้ถูกวินิจฉัยว่า เป็นเบาหวานชนิดที่ 2 ในขณะที่ไม่พบผู้ที่กลายเป็นเบาหวานในกลุ่มที่ได้รับแคปซูลสารสกัดขมิ้น และยังตรวจพบว่ามีการทำงานของเซลเบต้าซึ่งเป็นเซลของตับอ่อนที่สร้างอินซูลินดีขึ้น รวมทั้งมีผลข้างเคียงน้อยมาก
นอกจากนี้ยังมีแผนในการนำแคปซูลสารสกัดขมิ้นชันต่อยอดนำมาศึกษา ในเรื่องของภาวะอ้วนและภาวะไขมันพอกตับ เสี่ยงต่อการเป็นตับแข็งและมะเร็งตับ
ซึ่งเป็นปัญหาสาธารณสุขในขณะนี้และเป็นโรคที่เป็นภาวะแทรกซ้อนในคนที่เป็นเบาหวาน
โดยได้รับทุนสนับสนุนการวิจัยจากกรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยและแพทย์ทางเลือก และได้รับการสนับสนุนยาจากองค์การเภสัชกรรม คาดว่าจะสำเร็จภายในกลางปี 2559 ถือว่างานชิ้นนี้เป็นงานที่ทำต่อเนื่องกับองค์การเภสัชกรรมอีกงานหนึ่ง
ซึ่งจากการศึกษาสารสกัดขมิ้นชัน มีข้อบ่งชี้สามารถใช้ได้ในผู้ป่วยหลายโรค และในอนาคต หากถูกบรรจุในบัญชียาหลักแห่งชาติ ก็จะสามารถทำให้ผู้ป่วยเข้าถึงยาได้ทั่วถึง
อย่างไรก็ตาม ความสำเร็จในครั้งนี้ เป็นความร่วมมือขององค์การเภสัชกรรม กับ แพทย์ไทย โดย ทางองค์การเภสัชกรรมเป็นผู้ผลิตและคิดค้น ส่วนแพทย์เป็นคนนำไปทดสอบประสิทธิภาพทางคลินิค
แต่ก็ต้องถือว่าเป็นข่าวดีสำหรับคนไทย คะ !