เนื้อหาโดย Dodeden.com
รอยยิ้มและเสียงหัวเราะเป็นเครื่องมือสร้างความสุขให้ใครหลายๆ คนมานักต่อนักเเล้ว แต่ในบางครั้งคนเราก็ยังสับสนกับคนที่ยิ้มให้ว่าเค้ายิ้มให้เราจริงๆ จากใจหรือแกล้งยิ้มกันนะ
ไม่มีรอยยิ้มเมื่อวันวาน
ถ้าเราเคยเห็นรูปถ่ายเก่าๆ ซีดๆ ของครอบครัวยุคต้นศตวรรษที่ 20 จะพบว่าคนในรูปถ้าไม่หน้าตาบึ้งตึงก็หน้าหม่นหมอง นั่นเป็นเพราะเรื่องมันชวนให้หม่นหมองจริงๆ การถ่ายรูปในสมัยนั้นต้องเปิดหน้ากล้องทิ้งไว้นาน คนที่ถูกถ่ายรูปต้องนั่งนิ่งๆ รอหลายนาที ไม่งั้นภาพจะเบลอ การนั่งนิ่งๆ ใบหน้าเฉยเมยย่อมง่ายกว่าทำหน้าระรื่นค้างไว้
ยิ้มตามมารยาทหรือออกมาจากใจ
รอยยิ้มเป็นของติดตัวเรามาตั้งเเต่กำเนิด แม้แต่เด็กทารกหรือคนตาบอดก็ยังยิ้มเป็น รู้ไหมคะว่าคนตาบอดสามารถรับรู้ได้เมื่อคนรอบข้างกำลังยิ้ม และก็สามารถรับรู้ได้เช่นกันเมื่อมีคนแกล้งยิ้ม ดูเหมือนคนเราจะมีแรงกระตุ้นภายในมาตั้งเเต่กำเนิดให้แกล้งทำแฮปปี้ แม้จะไม่รู้สึกแบบนั้นจริงๆ ก็ตาม ยิ้มปลอม ก็คือยิ้มปลอม หรือยิ้มตามมารยาท ส่วนยิ้มจริงใจนั่นฝรั่งเค้าเรียกกันว่ายิ้มแบบดูเซนน์ เมื่อคนเรายิ้มตามมารยาท กล้ามเนื้อไซโกเมติกเมเจอร์เท่านั้นที่เคลื่อนไหว โดยดึงมุมปากทั้งสองข้างขึ้น แต่เมื่อคนเรายิ่มอย่างจริงใจ กล้ามเนื้อออร์บิคูลาริสออกคูลีรอบดวงตา จะเคลื่อนไหวจนหางตาเกิดรอยย่น ยิ้มจากใจจึงต้องใช้ทั้งปากและตาคู่กัน
สมัยนี้ ใครไม่ยิ้มตอนถ่ายรูป คนอื่นอาจจะคิดว่าต้องมีเรื่องไม่สบายใจอะไรสักอย่างแน่ ทั้งที่เดิมทีสีหน้าปกติของคนเราก็ไม่ใช่หน้ายิ้มซะหน่อย แต่ยิ้มเถอะค่ะ ไปเจอเรื่องราวดีๆ ก็ยิ้มบ้าง เจอเรื่องราวร้ายๆ ก็ยิ้มเข้าไว้ เพราะถึงยังไงการยิ้มก็คือการส่งผ่านความสุขและความรู้สึกดีไปให้คนอื่นนั่นแหล่ะ จริงมั้ย?