สัมภาษณ์ เจมส์จิ ถึงชีวิตการทำงานในวงการบันเทิง เวลานอนแทบไม่มี

jameten5

หนุ่มฮอตมาแรงในปีนี้ ไม่มีใครเกินหน้าพระเอกหน้าหวาน “เจมส์”จิรายุ ตั้งศรีสุข แต่กว่าจะได้ชื่อเสียงมาไม่ใช่เรื่องง่าย
วันนี้โอกาสดีส่งท้ายปี ไม่พลาดหยิบของขวัญชิ้นใหญ่ขอบคุณแฟนๆ กับการพูดคุยกับหนุ่ม “เจมส์-จิ” ให้หลายคนได้ฟิน

 

พอเข้าวงการมาก็ดังเปรี้ยง ชีวิตเปลี่ยนไปไหม?

“ชีวิตเปลี่ยนไปในแง่การทำงาน ยิ่งดังมากยิ่งเหนื่อยมาก เมื่อก่อนวันหนึ่งอาจว่างหลายชั่วโมง แต่พอเริ่มดังก็จะเริ่มแบบตี 5 ตื่น ตี 5 ครึ่งออกจากบ้าน ถึงงาน 6 โมงเช้า เสร็จปุ๊บไปอีกงานต่อ วันนึงเคยมากสุด 9 งาน”

“แผงหนังสือมีแต่ปกผมเต็มไปหมด เคยถ่ายมากสุด 6 ปกต่อวัน ทำงานเช้ามาก กองหนึ่งนัด 6 โมงเช้า เริ่มถ่าย 7 โมง เสร็จไม่เกิน 10 โมง เพื่อไปอีกงาน เสร็จจนถึงประมาณตี 2 และเคยสัมภาษณ์วันนึง 9 เล่ม ทุกเล่มสัมภาษณ์เกี่ยวกับชีวิตผม ผมก็ต้องเล่าแบบนี้ทั้ง 9 เล่ม ซึ่งพี่ปิ๊ก (ฌานฉลาด ทวีทรัพย์ ผจก.ส่วนตัว) บอกว่าอย่าทำให้ทุกคนรู้ว่าเราทำงานซ้ำ ผมเลยต้องครีเอตว่าจะเล่ายังไงให้ต่าง ไม่งั้นแพตเทิร์นเดิม เพราะแฟนคลับแต่ละคนอ่านทุกเล่มทุกบรรทัด บางวันทำงานก็เบรกเรื่องกินข้าวไปเลย เพราะกินข้าวทีนึงครึ่งชั่วโมง เสียเวลาทำงาน จะมากินข้าวในช่วงแต่งหน้าบ้าง ทำผมบ้าง ขึ้นรถบ้าง”

 

ทำงานขนาดนั้นไม่แย่เหรอ?

“แย่อยู่แล้ว ขนาดผมทำงานให้ทุกคนขนาดนี้ยังโดนด่าเลยว่าไม่ทำงานไม่รับงาน ชีวิตส่วนตัวนี่ไม่มีเลย เวลานอนยังไม่มี ช่วงหนักๆ นี่กลับบ้านตี 2 อาบน้ำ เก็บของเสร็จก็ตี 3 แล้ว พอตี 5 ต้องรีบตื่นลุกมาทำงาน”
“พูด ตรงๆ เหนื่อย เหนื่อยจริงๆ เรื่องใจนี่สู้เต็มที่ แต่พอเป็นเรื่องร่างกายบางวันเหนื่อยมาก ไปทำงานสักงานผมต้องซนๆ ดีดไปดีดมากระตุ้นตัวเอง ถ้านั่งเฉยๆ หลับแน่นอน ไม่สามารถทำอะไรได้ เพราะตาจะตก สมองไม่คิดเรื่องอะไรเลย”

 

รู้สึกท้อ เหนื่อย ถึงขั้นไม่เอาแล้วไหม?

“มีแหละ แต่ตั้งแต่อยู่กรุงเทพฯ ใหม่ๆ พี่ปิ๊กจะพาไปเจอคนนู้นคนนี้ไปเรียนรู้ชีวิตคน สอนเสมอว่าต้องให้เกียรติคนอื่น เห็นใจคนอื่น ต้องคิดถึงคนรอบข้าง ผมเลยคิดเสมอว่าบริษัทผม หมายถึงของพี่ปิ๊กเป็นบริษัทเล็กที่เพิ่งเริ่มต้น คือเงินออกเยอะมากแต่เงินเข้าไม่มีเลยช่วงแรก ผมก็คิดว่าถ้าผมไม่ทำงานหนักและไม่พยายามให้มากกว่านี้ แล้วคนรอบข้าง คนในออฟฟิศจะทำยังไง”

“คือพี่ปิ๊กทำเป็นโมเดลลิ่งสคูล จะหาคนที่ดูมีความสามารถ หน้าตาดี มาไว้ในค่าย รอบแรกมี 24 คน ผมเป็น 1 ในนั้น พอเปิดบริษัทการสะเก๊าคนการเปิดคลาสต้องใช้เงิน ต้องจ้างครู มีแต่เงินออก ก็เป็นปีถึงจะมีคนรู้จักมากขึ้น ตอนนี้เปิดได้ 3 คลาสแล้ว”

 

อะไรเป็นจุดเปลี่ยนทำให้มีความรับผิดชอบอย่างมาก?

“แปลกนะ ผมก็ไม่รู้ตัวเองว่าทำไมถึงต้องยอมเหนื่อย ยอมทำอะไรพวกนี้ แต่มีอยู่ช่วงหนึ่ง แรกๆ ยังสนุก พอวันหนึ่งที่เหนื่อยมากๆ เริ่มมีข่าวไม่ดีเข้ามาก็เริ่มบั่นทอนจิตใจ และด้วยร่างกายที่แย่ลง ตื่นขึ้นมาถามตัวเองว่า ทำไมต้องทำงานพวกนี้ ทำไมต้องทำหนักขนาดนี้ ทำเพื่อใคร เริ่มท้อ คิดถึงขนาดไม่อยากทำแล้ว มันเหนื่อยมาก ผมว่าเป็นเรื่องใจด้วย”

“แต่พอเรามาหาได้ว่าทำไมต้องทำงาน ขนาดนี้ ก็กลับไปมองพ่อกับแม่ ตอนนี้ท่านมาอยู่ที่กรุงเทพฯ ด้วย ผมกลับบ้านเกือบเที่ยงคืนแม่จะรอเปิดประตู หยิบ กระเป๋า ตื่นเช้ามาก็เห็นแม่มารอเปิดประตูให้ เป็นความรักที่ถ้าเราไม่ทำคงแย่ รู้สึกผิด สงสารเขา ผมเหมือนลูกอกตัญญูมาก ไม่มีเวลาให้ แต่คุณแม่ไม่เคยเรียกร้อง เข้าใจผม”

“แล้วพอมาเห็นวันนึงที่ มีแฟนคลับตามเยอะมาก ตามมากองถ่าย มาก่อนกองละครอีก มีตามไปถึงเชียงใหม่ บางคนมารอทั้งวัน บางทีกองไม่ให้คนนอกเข้า พอฝนตกแฟนคลับไม่มีที่ร่ม เขาก็ถือร่มกางรอกัน ยุงกัดบ้าง นั่งตากฝนบ้าง คือบอกเลยผมเหนื่อยนะ วันนึงถ่ายคนเดียว 20 ซีน พอออกมาแล้วใจอยากกลับบ้าน อยากนอน แต่พอคิดถึงที่แฟนคลับมารอเรา เราก็ทำไม่ได้”

 

คนชอบย่อมมีคนไม่ชอบ รู้สึกยังไงคนตั้งกลุ่มแอนตี้?

“ไม่รู้สึกอะไร คนเราต่างมุมมอง จริงๆ ตั้งแต่หลังละครออกมาผมโดนชมอยู่ 2 อาทิตย์ พอหลัง 2 อาทิตย์นั่นแหละเขียนด่าจนถึงวันนี้ (หัวเราะ) มีมาเรื่อยๆ ถามว่าบั่นทอนไหม พูดตรงๆ ผมไม่ได้อยากให้คนที่เห็นผมแล้วพูดว่าเป็นแค่ดาราขายหน้าตาอย่างเดียว ผมอยากแสดงให้ทุกคนเห็นว่าอาชีพนักแสดงควรขายฝีมือการแสดงและทำตัวให้ดี ผมเลยอยากฝึกทักษะการแสดง”

 

มันอาจจะถูกคาดหวังจากสังคมไว้เยอะ บางทีทำไม่ได้อย่างที่เขาอยากได้ มีเตรียมวิธีแก้ไขยังไง?

“พี่ปิ๊กสอนเสมอว่าเวลาเราทำอะไรอย่าเอาความมักง่ายของตัวเองมาทำลายฝันของ คนอื่น ถ้าผมทำอะไรไม่ดีสักอย่าง เช่น อู้งาน ไม่ยกมือไหว้หรือทำหยิ่งกับใคร มันทำให้ภาพที่เขาฝันว่าเป็นคุณชายพุฒิภัทรอาจจะผิดหวัง เลยคิดเสมอว่าเขาฝันเอาไว้เราก็อย่าเอาความมักง่ายที่เราเหนื่อย เราท้อ ไปเหวี่ยงใส่เขา ปัดกล้องเขา เราต้องระมัดระวังตัวเองทุกเรื่อง”

 

เรื่องหัวใจตอนนี้ มีคุยกับใครไหม?

“ไม่มีครับ เวลานอนยังหายากเลย”

 

รู้สึกยังไงตอนนี้ดัง คนรู้จักทั้งประเทศ?

“เราต้องทำงานทุกอย่างให้ดีที่สุด ดีขึ้นเรื่อยๆ พัฒนาตัวเองต่อเนื่อง ไม่อยากให้เขาผิดหวัง ผมเป็นหนี้บุญคุณแฟนๆ เขาคอยให้กำลังใจผม พวกเขาเป็นคนที่ทำให้ผมมีแรงทำงาน เวลาเห็นรอยยิ้มมันคือกำลังใจ มองตาสัมผัสได้ว่ามีพลังบางอย่างต่อกัน”

 

จากนี้ไปจะเป็นยังไงบ้างกับชีวิต?

“ยังทำงานอยู่ครับ กลับจากเกาหลีหลังไปฝึกทักษะ เรียนร้อง เรียนเต้น พี่ปิ๊กอยากให้ผมเห็นโลกกว้าง ให้ไปฝึกทักษะแล้วกลับมาเอ็นเตอร์เทนคน ที่สำคัญเขาจะเอาเราไปเก็บหลักการการทำงานของคนเกาหลีว่าเขาทำยังไง มีวินัยยังไง และกลับมาทำรายการอีกอันหนึ่งของพี่ปิ๊กที่เหมือนเราไปตามหาเด็ก 4 คน ที่ผ่านมิชชั่นที่เราทำไว้ เพื่อปั้นให้เป็นดารา พอจบมิชชั่นก็ส่งไปเกาหลีค่ายที่ผมไป แล้วเอาตัวผมคอยดูว่าที่นั่นทำยังไง แล้วเอามาปรับกับคนไทย”

 

ที่ว่าฝึกทักษะที่เกาหลี ได้ทำอะไรบ้าง?

“หลักๆ เต้นกับร้อง ไปวันแรกๆ อึ้งหลายเรื่อง คนเกาหลีมีความมุ่งมั่นมาก ถามคนที่นั่นว่าทำไมขนาดนั้น เขาบอกคนที่นั่นอยากเป็นศิลปินกันมาก เขาจึงมุ่งมั่นและฝึกกันตั้งแต่เด็ก ซึ่งเกิดจากสังคมเขาที่จะแข่งขันกันสูง”

 

ไปถึงตอนแรกเป็นไง?

“แรกที่ไปถึงและเข้าคอร์สผมอยากกลับบ้านครับ เพราะค่าย Cube Entermemt ที่ผมไปฝึกจะอยู่บนอพาร์ตเมนต์ในกรุงโซล ห้องซ้อมเล็กๆ ห้องนอนก็แคบๆ ต้องนอนรวมกัน 3 คนในห้องเดียว ผมต้องฝึกวันละ 10 กว่าชั่วโมง ตื่น 7-8 โมงเช้า แล้วก็ฝึกๆๆ จน 4-5 ทุ่มถึงได้พัก และไม่ได้ติดต่อคนภายนอกเลย ทำให้แรกๆ รู้สึกท้อ แต่พอผ่านไปซักอาทิตย์เริ่มชินและรู้จักคนที่ไปร่วมฝึก ก็เริ่มชอบ”

 

ใช้ภาษาอะไรในการสื่อสาร?

“ภาษามือครับ (หัวเราะ) ภาษาอังกฤษผมไม่เก่ง พอปรับตัวได้สิ่งที่เห็นคือความตั้งใจของเพื่อนร่วมฝึก ทุกอย่างที่เขาวางแผนไว้ต้องทำให้ได้ ทำให้เราสนุกไปกับเขา ไม่อึดอัดเหมือนแรกๆ”

“ในแต่ละอาทิตย์หลังได้เรียนได้ซ้อม ก็จะมีการสอบว่าใครทำอะไรได้ขนาดไหน จากนั้นใน 1 เดือน ประธานบริษัทจะมานั่งดู และจะเป็นผู้ชี้เป็นชี้ตายให้ศิลปินฝึกหัดว่าจะให้ฝึกต่อหรือออกจากบริษัท ที่นี่จะมีศิลปินฝึกหัดหลายคน แต่ละคนต้องซ้อมและฝึกให้ดีที่สุดถึงจะมีโอกาสเป็นศิลปิน ผมฝึกได้ 3 วันก็เป็นช่วงสอบใหญ่พอดี”

“หลังจบการสอบมีผู้หญิงเดินไป เปิดล็อกเกอร์ร้องไห้ ผู้หญิงคนนี้ไม่ผ่านการฝึก ทั้งที่ฝึกมา 2-3 ปี ลาออกจากโรงเรียนเพื่อมาฝึก ผมอึ้งเพราะไม่คิดว่าเขาซีเรียสขนาดนั้น ตอนเข้าไปใหม่ๆ เขาเขียนติดไว้เป็นภาษาเกาหลี แปลว่า ถ้าคุณไม่พร้อมพอ ก็กลับไป แรกคิดว่าเป็นแค่คำขวัญ แต่เห็นเวลาต่อมาว่าเขาไม่ได้เขียนเล่นๆ เขาทำจริงๆ”

 

6 อาทิตย์ที่ไปฝึก ได้อะไรมาบ้าง?

“ได้เห็นว่าทำไมประเทศเขาพัฒนา เพราะเขาเอาจริงเอาจัง บางคนอยู่ในห้องเล็กๆ ขนาดห้องลองเสื้อผ้าในห้างบ้านเรา มีกระจก มีไมโครโฟน ซ้อมร้องได้ วันละ 4-5 ชั่วโมงคนเดียว คนเกาหลีจะบอกว่า “ถ้าคุณอยากได้อะไร ไม่มีที่คุณจะทำไม่ได้ แค่ทุ่มเทกับมัน” ฟังดูแล้วจริงอย่างที่เขาบอก ซึ่งผมได้อะไรกลับมาเยอะ ไม่ว่าจะเป็นมุมมองและอื่นๆ ที่เอามาปรับใช้กับการทำงานได้ และรู้เลยว่าสิ่งที่ผมทำที่เมืองไทยที่ผมคิดว่าหนัก ยังไม่ได้เสี้ยวกับสิ่งที่ศิลปินเกาหลีทำเลย”

 

ตอนนี้วางอนาคตตัวเองไกลๆ ยังไง?

“ยังไม่ได้วางมาก เคยวางไว้แล้วชีวิตเปลี่ยนตลอด ถ้าให้หวังก็อยากให้ตัวเองเป็นนักแสดงที่ดี ให้ทุกคนมีแต่รอยยิ้มครับ”

แค่นี้แฟนๆ ก็ยิ้มจนแก้มปริแล้ว

jameten3

jametne3  jamebt2

 

ขอบคุณ  www.khaosod.co.th

เรื่องน่าสนใจ