รายการเรื่องเล่าเช้านี้ ทางช่อง 3 รายงานว่า มีหญิงสาวคนหนึ่ง คือ น.ส.เอ (นามสมมติ) อายุ 33 ปี ชาว จ.อุบลราชธานี เดินทางเข้าแจ้งความกับเจ้าหน้าที่ตำรวจว่าถูกชายฉกรรจ์กลุ่มหนึ่งอ้างตัวว่าเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจข่มขู่รีดทรัพย์
น.ส.เอ เล่าว่า ก่อนหน้านี้ตนเองมีอาชีพเป็นหมอนวดอยู่ที่ประเทศเกาหลีแต่ถูกจับข้อหาเข้าเมืองโดยผิดกฎหมายจึงถูกส่งตัวกลับประเทศไทย จากนั้นจึงมาขอพักอาศัยกับเพื่อนย่านพัทยาเหนือ จนกระทั่งเวลาประมาณ 18.00 น. ของวันที่ 8 มิถุนายนที่ผ่านมา ขณะที่ตนกำลังนั่งรับประทานอาหารกับเพื่อน จู่ ๆ ก็มีกลุ่มชายฉกรรจ์จำนวน 4 คน อ้างตัวว่าเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.นาจอมเทียน และเด็กชายวัย 5 ขวบ ไขกุญแจห้องพักเข้ามา ก่อนจะค้นห้องและเอาพระเครื่องรวมทั้งทรัพย์สินอื่น ๆ ไปหลายรายการ นอกจากนี้ยังตรวจพบยาไอซ์จำนวน 40 กรัม ซึ่งตนยอมรับว่าเสพยาจริง
จากนั้นชายกลุ่มดังกล่าวได้พาตัวตนไปกักตัวที่ สภ.นาจอมเทียน แต่ยังไม่ได้เข้าห้องขัง จนกระทั่งวันที่ 9 มิถุนายนที่ผ่านมา เพื่อนของตนมาบอกว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจให้หาเงินมาให้ 5,000 บาท เพื่อใช้ล่อซื้อยาเสพติดหากหามาได้จะปล่อยตัว ตนจึงตัดสินใจโทรศัพท์ไปหาพี่ชายเพื่อขอยืมเงิน 2,000 บาท รวมกับของเดิมที่ตนมีอยู่ 1,500 บาท รวมเป็น 3,500 บาท และนำไปต่อรองว่ามีเงินเพียงเท่านี้ ทางเจ้าหน้าที่จึงให้ตนโอนเข้าบัญชี
น.ส.เอ เล่าต่อว่า จนรุ่งขึ้นอีกวันคือวันที่ 10 มิถุนายน มีชายที่อ้างว่าเป็นตำรวจชื่อต้น ซึ่งตนไม่ทราบว่าเป็นตำรวจจริงหรือไม่ ได้เรียกตนออกมาจากห้องขัง ซึ่งในขณะนั้นมีหญิงสาวรุ่นราวคราวเดียวกันถูกคุมขังอยู่รวม 7 คน ก่อนจะพาตนไปยังห้อง ๆ หนึ่งบนสถานีตำรวจ โดยบอกว่าจะทำเครื่องหมายฝากไว้เพื่อไม่ให้ใครมายุ่ง จากนั้นจึงกระทำอนาจารจนคอของตนเป็นรอยจ้ำและพยายามจะปลุกปล้ำขืนใจ แต่ตนอ้างว่ามีประจำเดือน ชายที่ชื่อต้นจึงผละออกและนำตนกลับไปยังห้องควบคุมเหมือนเดิม
หลังจากนั้นอีกวันตนก็ได้รับการติดต่อจากเพื่อนให้ตนหาเงินมาอีก 15,000 บาท เพื่อใช้ล่อซื้อยาอีกครั้ง ตนไม่รู้จะทำอย่างไรจึงติดต่อไปหาพี่สาวที่ต่างจังหวัดจนได้เงินมา และในคืนวันเดียวกันชายที่ชื่อต้นก็พาตนออกจากห้องขัง โดยบอกว่าจะพาไปขับรถเที่ยว แต่ภายหลังได้พาเธอไปยังโรงแรมที่กำลังก่อสร้างเพื่อปลุกปล้ำ แต่เนื่องจากตนมีประจำเดือนจึงรอดมาได้
จนเมื่อวันที่ 12 มิถุนายน 2559 พี่ชายของตนซึ่งเป็นตำรวจอยู่โรงพักแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ ได้เดินทางมาเยี่ยมพร้อมกับไปเจรจากับนายอึ่งที่อ้างตัวเป็นหัวหน้าชุดจับกุมดังกล่าว นายอึ่งจึงยื่นข้อเสนอให้พี่ชายหาเงินมาจำนวน 1 แสนบาท เพื่อแลกกับอิสรภาพ แต่พี่ชายหาเงินมาได้เพียง 6 หมื่นบาท จึงต่อรองจนนายอึ่งยินยอม โดยมีนายหวังเป็นผู้มารับเงินไป ก่อนตนจะโดนข่มขู่รีดไถเงินอีกจำนวน 3,000 บาท จนได้รับการปล่อยตัว
ทั้งนี้หลังได้รับการปล่อยตัวตนเห็นว่าเรื่องเกิดขึ้นไม่ถูกต้องจึงปรึกษาญาติ ๆ และเดินทางไปแจ้งความที่ สภ.พัทยา ไว้เป็นหลักฐาน พร้อมกับเดินทางไปตรวจร่างกายที่โรงพยาบาลซึ่งแพทย์ลงความเห็นว่าถูกกระทำชำเราจริง นอกจากนี้ตนยังได้เดินทางไปร้องเรียนที่มูลนิธิปวีณาเพื่อเด็กและสตรี กระทรวงยุติธรรม และจเรตำรวจแห่งชาติ เพื่อขอความช่วยเหลือและนำผู้กระทำผิดมาลงโทษตามกฎหมายให้ได้
เบื้องต้น เจ้าหน้าทีตำรวจที่รับเรื่องได้ประสานงานไปยังชุดสืบสวนเพื่อให้ลงพื้นที่ตรวจสอบกล้องวงจรปิดพร้อมกับหาพยานหลักฐานเพื่อส่งสำนวนการสอบสวน ไปยังสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (ป.ป.ท.) เพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงในเรื่องนี้ และยืนยันว่าจะทำคดีตามขั้นตอนของกฎหมาย