วันนี้(20 ส.ค.58) สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่าเจ้าของโกดังที่เกิดเหตุระเบิดขึ้นที่เมืองเทียนจินเมื่อสัปดาห์ก่อนใช้ความสัมพันธ์ส่วนตัวที่มีกับบรรดาเจ้าหน้าที่เพื่อให้ได้ใบอนุญาตด้านความปลอมภัยปลอม โดยนายยู่ เสวเหว่ยอดีตผู้บริหารของบริษัทไซโนเคมและนายตง เชอฉวนบุตรชายของอดีตหัวหน้าตำรวจคือผู้ถือหุ้นใหญ่ของบริษัทยุ่ยไห่ อินเตอร์แนชั่นน่อล โลจิสติกส์ ที่เป็นเจ้าของโกดัง
ขณะที่ระหว่างการให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวซินหัว ทั้งนายตงและนายยู่ยอมรับว่าใช้ความสัมพันธ์ส่วนตัวที่มีกับเจ้าหน้าที่ต่างๆเพื่อให้ได้รับอนุญาตต่างๆทั้งใบอนุญาตความปลอดภัยเรื่องไฟไหม้, ที่ดิน, สิ่งแวดล้อมและความปลอดภัย นอกจากนี้ทั้งคู่ยังพยายามปิดบังชื่อของตัวเองว่าเป็นเจ้าของโกดัง โดยใช้ชื่อเพื่อนและญาติเป็นผู้ถือหุ้นแทนพวกเขาซึ่งบุคคลทั้ง 2 อยู่ในกลุ่มเจ้าหน้าที่10คนของบริษัทยุ่ยไห่ที่ถูกตำรวจควบคุมตัวไว้ระหว่างเจ้าหน้าที่ตรวจสอบเรื่องการไม่ได้มาตรฐานด้านความปลอดภัยที่ก่อให้เกิดเหตุระเบิดขึ้น
ก่อนหน้านี้ หน่วยงานติดตามต่อต้านการรับสินบนของจีนระบุว่าหัวหน้าฝ่ายกฎระเบียบด้านความปลอดภัยในที่ทำงานของจีน กำลังถูกสอบสวนเนื่องจากอนุญาตให้มีการดำเนินธุรกิจได้โดยไม่มีใบอนุญาตดำเนินการเรื่องสารเคมีมีพิษ ขณะที่คณะกรรมการกลางเพื่อการตรวจสอบระเบียบวินัยระบุว่านายหยาง ตงเหลียงหัวหน้าสำนักงานด้านความปลอดภัยในที่ทำงานของรัฐ กำลังถูกสอบสวนฐานต้องสงสัยว่าละเมิดระเบียบวินัยของพรรคและกฎหมาย
ทั้งนี้ ทางการยังสอบสวนว่าเพราะเหตุใดโกดังดังกล่าวจึงเก็บสารเคมีอันตรายเอาไว้ ทั้งๆที่ตั้งอยู่ห่างจากชุมนุมที่อยู่อาศัยเพียง 560 เมตรเท่านั้น ขณะที่กฎหมายกำหนดไว้ว่าจะต้องอยู่ห่างอย่างน้อย 1,000 เมตรจากศูนย์กลางการคมนามคมหรืออาคารสาธารณะต่างๆ
ด้านนายบาสคัต ทันคัคผู้เชี่ยวชาญด้านสารและขยะมีพิษของสหประชาชาติหรือยูเอ็น ระบุในแถลงการณ์ว่าหายนะภัยที่เกิดขึ้นอาจป้องกันได้ หรืออาจจำกัดความเสียหายได้หากทางการได้ให้ข้อมูลมากขึ้นพร้อมชี้ว่าเป็นหน้าที่ของรัฐที่จะต้องแจ้งให้สาธารณชนรับทราบเกี่ยวกับสารอันตรายซึ่งหายนะภัยทางเคมีที่เกิดขึ้นเป็นอีกตัวอย่างหนึ่งที่น่าเศร้าของความจำเป็นในเรื่องข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับสารอันตราย เพื่อปกป้อง, เคารพและตระหนักถึงด้านสิทธิมนุษยชน นอกจากนี้แถลงการณ์ดังกล่าวยังวิจารณ์การจำกัดเสรีภาพของสื่อ หลังเกิดเหตุระเบิดและเรียกร้องให้มีการดำเนินการสอบสวนเรื่องที่เกิดขึ้นอย่างโปร่งใสด้วย
ด้านฟิตช์ เรตติ้งสถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือระบุว่าค่าประกันภัยจากเหตุระเบิดครั้งนี้อาจสูงเกินกว่าที่ประเมินไว้มากกว่าที่ธนาคารเครดิต สวิสประเมินไว้ระหว่าง 1,000 – 1,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐหรือกว่า 35,000 – 52,500 ล้านบาท ซึ่งคาดว่าบริษัทประกันภัยของจีนจะต้องแบกรับภาระทั้งหมด โดยนอกจากความเสียหายจริงที่เกิดขึ้นจากแรงระเบิดแล้ว บรรดาโรงงานต่างๆที่ตั้งอยู่ใกล้บริเวณที่เกิดเหตุก็ต้องหยุดดำเนินการ ซึ่งทำให้สูญเสียรายได้ที่บริษัทประกันอาจต้องจ่ายค่าชดเชยด้วย