ผู้สื่อข่าวรายงานว่าในโลกออนไลน์ได้แชร์ข่าวการสูญเสียนักดนตรีขวัญใจวัยรุ่น เมื่อเวลา 23.30 น.ของคืนวันที่ 29 ก.ค. โดยทวิตเตอร์ @Namsifa1844 รายงานว่า นายประชาธิป มุสิกพงศ์ หรือ สิงห์ อายุ 31 ปี มือกีตาร์ของวงสควีซ แอนนิมอล (Sqweez Animal)
รวมทั้งเป็นบุตรชายของ วีระ มุสิกพงศ์ ( วีระกานต์ มุสิกพงศ์ ) กลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) พลัดตกจากคอนโดมีเนียมหรู ย่านทองหล่อ จากชั้น 9 มาเสียชีวิตบริเวณระเบียงห้อง ชั้น 4
ซึ่งทาง นายวีระ ได้เดินทางมาที่เกิดเหตุเพื่อดูศพลูกชาย โดยนายวีระ ยืนยัน ได้เสียลูกชายคนที่ 2 ไปแล้ว เชื่อเป็นการฆ่าตัวตาย เพราะทิ้งจดหมายลาไว้ เนื่องจากมีปัญหากับแฟนสาว
ขณะที่โลกออนไลน์ต่างพากันติดแฮชแท็ก #RIPsingha โดยแสดงความเสียใจและตกใจกับข่าวดังกล่าว
ทั้งนี้ นายประชาธิป เป็นลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของนายวีระ ซึ่งได้เคยมีข่าวคบหากับนักร้องสาวค่ายอาร์เอส “เฟย์ พรปวีณ์ นีระสิงห์”
สำหรับเรื่องราวของนักดนตรีหนุ่มขวัญใจสาวๆ ทางประชาชาติออนไลน์ ได้เคยลงสัมภาษณ์ไว้เมื่อปี 2552 ในชื่อว่า “เปิดตัวตน ชีวิต ความฝัน เสื้อไม่มีสี แบบชิลๆ ของ ประชาธิป มุสิกพงศ์”
ลูกไม้หล่นไกลต้น วีระ มุสิกพงศ์ ( วีระกานต์ มุสิกพงศ์ ) กับ ศรีวิไล มุสิกพงศ์ นักเรียนอังกฤษ มือกีตาร์ของวงดนตรี Sqweez Animal การเมืองไม่ยุ่งมุ่งแต่เสียงเพลง แต่เขากลับมียอดคุณพ่อเป็นกำลังใจ
“ประชาธิป มุสิกพงศ์” หรือ สิงห์ ลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของ “วีระ” ในวัย 25 ปี ซึ่งกำลังสนุกกับการทำงานบนเส้นทางดนตรีที่เขารักและใฝ่ฝันมาแต่เด็ก
ปัจจุบัน สิงห์ ลูก วีระ เป็นมือกีตาร์ของวงดนตรี Sqweez Animal วงดนตรีน้องใหม่ไฟแรง แห่งค่าย Spicy Disc ค่ายเพลงอินดี้เล็กๆ
สิงห์ และ เพื่อนร่วมวงกำลังซุ่มทำเพลงชุดที่ 2 กันอย่างขะมักเขม้น เราพาคุณผู้อ่านไปนั่งสนทนากับ สิงห์ ลูก พ่อวีระ ถึงตัวตน ชีวิต และความใฝ่ฝัน ของเขา
@ คุณไปใช้ชีวิตในประเทศอังกฤษตั้งแต่เด็กๆ
ใช่ครับ ผมไปเรียนที่อังกฤษตั้งแต่ 8-9 ขวบ ไปเริ่มเข้า ป6. ที่นั่น เรียนจนจบ ม.ต้นที่นั้น แต่ถ้าเทียบที่เมืองไทยก็จบ ม.ปลายครับ
จากนั้นก็ไปลอนดอน ตั้งใจไปเรียนด้านมิวสิคเทคโนโลยีโดยตรง แต่ลองเรียนได้สัก 2 แห่ง แต่ไม่ค่อยชอบเท่าไหร่ ก็เลยหันไปเรียนด้านกราฟฟิกดีไซน์ จนกลับมาเมืองไทย
จริงๆ ผมชอบดนตรีมาตั้งแต่เด็ก กลับมาก็ร้อนวิชา ทำเพลงกับเพื่อน ๆ ตั้งแต่สมัยอยู่อังกฤษ กลับมาก็เอาผลงาน มาพยายามหาเส้นทางเผื่อว่าเพลงของเราจะออกมาให้คนอื่นได้ฟังกันบ้าง
@ เริ่มเส้นทางเป็นนักดนตรีตั้งแต่เมื่อไหร่
เริ่มเข้าสู่เส้นทางดนตรีจริงจังก็ตอนยื่นเพลงให้ค่ายเทปฟัง แต่ส่วนตัวลึกๆ แล้ว ผมอยากให้มันจริงจัง ให้เป็นอาชีพเรา เพราะเป็นความฝันตั้งแต่เด็ก ตอนนี้ก็เหมือนฝันที่เป็นจริงครับ ได้มาออกเทป
งานเพลงตอนนี้ก็กำลังไปได้ดีมาก ดีเกินคาด โดยที่เราก็ไม่ได้คาดหวังอะไรไว้ด้วย คือการได้มาออกเทปกับค่ายเป็นจุดที่เกินความหวังของเราไว้แล้ว
เพราะก่อนหน้านั้นเราทำขายกันเองก่อน ในงานแฟต เฟสติวัล ครั้งที่ 4 ผลิตเอง ปั้มซีดีกันเอง ก็มีคนซื้อ ติดชาร์ตบ้าง (หัวเราะ) จากนั้น ก็เลยเอาผลงานที่เหลือไปเสนอตามค่าย สุดท้ายก็มาอยู่กับ Spicy Disc
จริงๆ ก็ไม่ได้หวังอะไรมากหรอกครับ เพราะทำเพลงตามใจตัวเอง ทำตามที่ชอบ ยังไม่ได้คิดถึงคนฟังว่า มีตลาดรองรับเพลงที่เราทำหรือเปล่า
แต่สุดท้ายก็มีคนยอมรับงานของพวกเรา พอผลงานติดชาร์ต ได้รังวัลตอบแทนจาก แฟต อวอร์ดบ้าง ซี๊ด อวอร์ดบ้างก็เหนือความคาดหมายอย่างยิ่ง เป็น motivation ให้เราอยากทำเพลงไปเรื่อยๆ
@ แนวดนตรีของคุณเป็นแบบไหน
จริงๆ คอนเซ็ป ของวง Sqweez Animal เราไม่เคยวางไว้เลย เป็นอะไรที่เพียวมากๆ ชอบอะไรก็พุ่งออกมาทางดนตรีเลย แล้วเราค่อยมาดูว่าเหมาะกับเพลงมั๊ย
วันนี้ ผ่านมาอัลบั้มที่ 2 แล้ว ทุกอย่างก็ยังเหมือนเดิม แต่อัลบั้มใหม่จะมีสีสันมากขึ้น อาจมีคนมาช่วยโค-โปรดิวซ์ หรือมาช่วย โปรดิวซ์ หรืออาจมีนักร้องรับเชิญเข้ามาร่วมด้วย ไม่ได้ฟิกส์ตายตัว
แต่จริงๆ ด้วยความที่ผมเป็นคนฟังเพลงหลายแนวมากๆ ตั้งแต่สแตนดาร์ดแจ๊ส ไปถึงขั้นเฮฟวีเมทัล ไปเลย แต่พอมาเป็น Sqweez Animal ก็จะมีพี่วิน ที่เขาจะมีสไตล์ค่อนข้างตายตัวนิดนึง
เขาจะชอบ ฟังก์กี้ ดิสโก้ ก็เอามาปรับผสมผสานกัน ซึ่งผมว่าแปลกดี แต่ก็ลงตัวในระดับหนึ่ง ฉะนั้น อลบั้ม 2 ความเข้มข้นของดนตรีหลายๆ แนว ที่ผมชอบ อาจจะปรากฏมากขึ้นกว่าอลบั้มที่แล้ว อาจจะเป็นป๊อปวาไรตี้ที่กว้างขวางขึ้น
@ ออกอัลบั้ม เป็นนักดนตรี ชีวิตเปลี่ยนไปยังไงบ้าง
ก็เปลี่ยนไปเยอะครับ กลับมาจากอังกฤษใหม่ๆ ผมค่อนข้างเก็บตัว เป็นคนเงียบๆ แต่พอออกเทป ทำเพลง คนก็เริ่มรู้จักชื่อเรา เริ่มติดตาม มีแฟนเพลงด้วย จริงๆ ก็เปลี่ยนไปในทางที่ดี( นะ) เหมือนเรา ลีฟวิ่ง อิน เดอะ ดรีม เพราะในชีวิตเราก็อยากมีอาชีพนี้มาตลอด
อีกอย่างคือ ใช้ชีวิตสนุกขึ้น มีเพื่อนฝูงมากขึ้น ซึ่งดันมาเป็นเพื่อนทำงานด้วย (หัวเราะ) เป็นความสุขที่หาได้ยาก ทำงานกับเพื่อนก็สนุกสนานมากกว่า ไม่เหมือนการทำงานเท่าไหร่ แต่สามารถเลี้ยงชีวิตไปได้ด้วย
@ ในฐานะเป็นนักกีตาร์ มีนักกีตาร์คนโปรดไหม
เรื่องนี้แปลกมาก ผมเป็นนักกีตาร์ก็จริง แต่ไม่ค่อยมีนักกีต้าร์ในดวงใจ ส่วนมากจะเป็นวงดนตรีมากกว่า ผมจับกีต้าร์เลยเพราะโมเดิร์นด็อกครับ
ตอนนั้นน่าจะประมาณ 8 ขวบ ฟังพี่เมธี เล่นกีตาร์ ก็คว้ากีต้าร์มาเล่น เป็นเครื่องดนตรีชิ้นแรก หรือ พี่โป้ โยคี เพลย์บอย วงสี่เต๋าเธอ วงซิลลี่ ฟูล ผมจะเล่นกีต้าร์ แกะเพลงของวงเหล่านี้มาตั้งแต่เด็ก ๆ
@ ทำเพลงมาสอง 2 ชุด แล้ว คุณมองวงการเพลงไทย อย่างไรบ้าง
ส่วนตัวแล้ว หลังจากออกอัลบั้มแรกไป ผมรู้สึกว่าสมัยก่อนเพลงอินดี้อาจจะหาฟังกันยากกว่านี้ แต่ตอนนี้เริ่มมีค่ายเพลงรับศิลปินอินดี้มากขึ้น หรือมีวิทยุ มีสื่อที่เขาเปิดเพลงอินดี้มากขึ้น
ผมเชื่อว่าคนไทยเริ่มสนใจสิ่งแปลก ๆใหม่ๆ มากขึ้น เริ่มเปิดกว้างมากขึ้น อีกอย่างมันเป็นทางของผมด้วย (หัวเราะ) ซึ่งเริ่มเปิดกว้างขึ้นแล้ว
ในอนาคตผมเชื่อว่า แนวทางนี้น่าจะเกิดขึ้นเรื่อยๆ กับคนไทย น่าจะเปิดกว้างกว่านี้ เพราะดนตรีเป็นศิลปะ เป็นที่พึ่งใจของคนได้ง่าย คนที่อารมณ์ไม่ดี วันหนึ่งถ้าเจอเพลงเพราะๆ สบายๆ ก็อาจจะเปลี่ยนอารมณ์ ให้เขาทำงานสบายขึ้นได้
ฉะนั้น วงการดนตรีไทย จะอยู่คู่กับคนไทยไปเรื่อยๆ ไม่ว่าจะเปลี่ยนไปยังไงก็ตาม
ผมคิดว่า การที่คนเปิดรับฟังแนวเพลงใหม่ ๆ ถือเป็นความท้าทายอีกรูปแบบหนึ่ง (นะ) ในวงการเพลงไทย เพราะผมก็ไม่ทราบว่า เจนเนอเรชั่นใหม่ของคนไทย เขาจะเหมือนสมัยก่อนมั๊ยที่สื่อจะเป็นตัวนำดนตรี มากระแทกใส่เรา มากกว่าที่เราจะไปหาเองหรือเปล่า
@ เล่นดนตรีเป็นอาชีพ ที่บ้านว่าอย่างไรบ้าง
คุณพ่อ คุณแม่ สนับสนุน เป็นอย่างดีเลยครับ ผมเชื่อว่า ถ้าคุณพ่อกับคุณแม่ไม่สนับสนุน ผมคงไม่มาถึงจุดนี้ได้ อย่างเรื่องเรียน เขาก็ให้ผมไปเรียนดนตรีตั้งแต่เด็ก
อย่างที่บอกผมก็เปลี่ยนโรงเรียนไป 2 โรงเรียน เพราะเหมือนยังหาตัวเองไม่ชัดว่า จะพุ่งไปทางดนตรี 100 % เลยหรือเปล่า เขาก็สนับสนุน
เด็ก ๆ ผมไม่มีเงินไปซื้อเครื่องดนตรีเอง คุณพ่อ คุณแม่ก็ ซื้อมาให้ตลอด ตอนนั้นเขาคงไม่คิดการไกล ว่าเราจะเอาสิ่งของพวกนี้มาทำเป็นอาชีพได้ ถึงปัจจุบัน (หัวเราะ)
@ ชื่อประชาธิป มาจากประชาธิปไตยหรือเปล่า
ใช่ครับ มาจากประชาธิปไตย คุณพ่อตั้งให้ เป็นสิ่งที่คุณพ่อผมเชื่อมั่นมากที่สุด ปลูกฝังผมมาตั้งแต่เด็ก
@ การใช้วิถีชีวิตแบบตะวันตกกับแบบไทย ต่างกันมากไหม
แค่การใช้ชีวิตของผมเองก็แตกต่างกันแล้วครับ การอยู่ที่นี่ผมอาจจะมีรถขับ คือ..อยู่ที่นี่แล้วสบาย จนบางทีสปอยตัวเองเกินไป อะไรๆ ก็ง่ายเกินไป ง่ายไปหมด ทำให้ขี้เกียจ
แต่ที่โน่น สิ่งที่ผมชอบที่สุด คือ การตรงต่อเวลา ไม่ว่างานอะไรก็ตาม บ่าย 2 ก็คือ บ่าย 2 ซึ่งผมว่าคนไทยมีจุดอ่อนเรื่องนี้เยอะมาก เพราะเจอกับตัวเองมาเยอะ
อีกอย่าง แน่นอนคือ ที่โน่นต้องพึ่งตัวเอง แรกๆ ที่ไป ก็อยู่โรงเรียนประจำ ก็ต้องล้างจาน เป็นรุ่นน้องก็ต้องเป็นรุ่นพี่ไปก่อน แต่ถ้าผมอยู่ที่นี่ ไปเรื่อยๆ ผมอาจจะขี้เกียจ เป็นเด็กสปอย ไม่มีวินัยเท่าที่ควร
@ ทุกวันนี้ ความสุขในชีวิตคุณคืออะไร
ความสุขตอนนี้คือ ปัจจุบันอย่างเดียวเลยครับ ผมเชื่อว่าอนาคตเกิดขึ้นตลอดเวลา อีก 2 นาทีข้างหน้าก็คืออนาคต ฉะนั้น ผมเชื่อว่า การที่ปัจจุบัน ผมยังนั่งยิ้มอยู่ มีความสุขกับงาน มีครอบครัวที่ดี คอยสนับสนุนอยู่ข้างหลัง
สำหรับผม แค่นี้ชีวิตก็เพอร์เฟ็กส์แล้ว อยู่อย่างสบายไม่ลำบาก มีคุณพ่อ คุณแม่ คอยซัพพอร์ตเรามา แต่ตอนนี้ถึงเวลาแล้วที่เรา จะต้องตอบแทนท่านแล้ว
เครดิตภาพ : ประชาชาติออนไลน์