หลังจากเกิดดราม่าศึกแย่งชิงแขกรับเชิญในรายการสนทนาข่าว กรณีที่ นางพรทิพย์ จันทรัตน์ มารดา และ ด.ญ.ภัทรดา หรือ น้องบีม แก้วผ่อง อายุ 14 ปี ลูกสาวพิการนั่งรถเข็นวีลแชร์ มาขายของที่วัดชลประทานรังสฤษฎ์ ต.บางตลาด อ.ปากเกร็ด จ.นนทบุรี หลังประสบอุบัติเหตุชนกับรถพ่วง ที่ จ.สุราษฎร์ธานี ซึ่งทางบริษัทคู่กรณีจ่ายเงินค่าเสียหาย แต่กลับถูกทนายความของตัวเองโกงเงินไปเป็นจำนวน 5 ล้านบาท
โดยทั้งคู่ได้เดินทางมาอัดรายการ “โหนกระแส” ทางช่อง 3 SD ช่อง 28 ซึ่งมี หนุ่ม-กรรชัย กำเนิดพลอย รับหน้าที่พิธีกร ซึ่งหลังจากอัดรายการเสร็จและเดินทางกลับบ้าน ปรากฏว่ามีนักข่าวของสถานีโทรทัศน์แห่งหนึ่งขอให้ “นางพรทิพย์” สัมภาษณ์โฟนอินเข้าไปในรายการ แต่สื่อสารกันตะกุกตะกักและต้องวางสายไป จนเป็นเหตุที่มาของประเด็นดราม่าที่ว่าทีมงานรายการ “โหนกระแส” กักตัวไม่ให้คุณแม่น้องบีมให้สัมภาษณ์กับสื่ออื่น
ทั้งนี้ หนุ่ม-กรรชัย กำเนิดพลอย พิธีกรรายการ เผยถึงข้อเท็จจริงว่า “ในวันที่ถ่ายทำรายการ “โหนกระแส” วันพฤหัสฯ ที่ 29 มิ.ย.ที่ผ่านมา รายการได้มีการเชิญ ‘น้องบีม’(ด.ญ.ภัทรดา แก้วผ่อง) สาวพิการนั่งรถเข็นวีลแชร์ อายุ 14 ปี และคุณแม่ (นางพรทิพย์ จันทรัตน์) ซึ่งมีกรณีที่ถูกทนายความของตัวเองโกงเงินไปเกือบ 5 ล้านบาทมาออกรายการ ตอนที่ถ่ายทำอยู่ข้างในสตูดิโอ ชั้น 11 ที่ช่อง 3
พอถ่ายเรียบร้อยเสร็จปรากฏว่าคุณแม่จะกลับบ้านเพราะตอนที่เดินทางมามากับรถกาชาดของจังหวัด ในระหว่างนั้นคุณแม่มีอาการปวดขาเพราะใส่เหล็กที่ขาทั้งสองข้าง ส่วนน้องบีมที่เป็นลูกสาวพิการที่ขาทั้งสองข้างและอยากจะกลับไปเปลี่ยนแพมเพิร์ส
หลังจากออกจากสตูดิโอมาอยู่ดีๆ ก็มีคนคนหนึ่งอ้างว่าเป็นสื่อของสถานีแห่งหนึ่ง ซึ่งขึ้นมาถึงชั้น 11 ของช่อง 3 โดยที่ไม่รู้ว่าใครอนุญาตให้ขึ้นมา พร้อมกับบอกว่าจะพาคุณแม่กับน้องบีมไปออกรายการอีก 2 รายการ ซึ่งตัวคุณแม่เองก็งงว่าทำไม่อยู่ดีๆ ถึงได้มีคนขึ้นมาและจะพาตัวไปเพราะคุณแม่รู้สึกว่าตัวเองไม่ไหวแล้ว”
“ผมบอกว่าก่อนว่าตอนนั้นผมไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ แต่ทีมงานเล่าให้ฟังว่าคุณแม่ได้มีการไปกระซิบกับน้องบีมซึ่งเป็นลูกสาวว่า “ช่วยบอกพี่นักข่าวเขาเถอะว่าน้องบีมก็ไม่ไหวแล้ว อยากกลับบ้าน พี่จะได้ไม่ต้องพาเราไปไหนอีก จะได้กลับบ้านกัน” ซึ่งพอคุณแม่พูดมาแบบนี้ ด้วยความที่ผมเองเป็นเจ้าของรายการและไปถ่ายทำที่ช่อง 3 ผมก็ต้องให้เกียรติทางช่อง 3 และให้เกียรติแขกรับเชิญด้วย
ผมเลยบอกทีมงานว่าถ้าอย่างนั้นไปเคลียร์ให้แทนหน่อยว่าคุณแม่ลำบากจริงๆ ทางทีมงานก็เลยไปเคลียร์ให้ แต่ไม่รู้ว่าอีท่าไหนยังไงอาจจะมีการใช้ไมค์คุยกันหรือเปล่า แต่หลังจากนนั้นผมก็ให้ทีมงานพาคุณแม่และน้องบีมลงจากชั้น 11 ไปส่งที่รถกาชาดของจังหวัดที่พาคุณแม่และน้องบีมมาเองตามที่บอกไปข้างต้นแล้ว หลังจากนั้นผมก็บอกให้ทีมงานขึ้นรถไปด้วยเพื่อไปส่งคุณแม่และน้องบีมที่บ้านเพราะเห็นว่าทั้งสองคนไม่ไหวแล้ว แต่ให้แวะกินข้าวก่อนด้วยเดี๋ยวผมเลี้ยงเอง ในฐานะที่เป็นคนเชิญเขามาก็ควรจะต้องดูแลอย่างดี”
“แต่ที่นี้ปัญหาที่ดราม่าเกิดขึ้นตรงที่ว่าผมถ่ายรายการรายการหนึ่งเสร็จตอนทุ่มนึง แล้วก็ได้โทร.กลับไปหาคุณแม่ว่า “คุณแม่ครับถึงบ้านหรือยัง เป็นยังไงบ้าง ตกลงสถานีนั้นเขายังตามมาอยู่ไหม” ซึ่งคุณแม่ก็บอกว่า “ไม่แล้วค่ะ แต่ว่ามีอีกทีหนึ่งโทร มาขอโฟนอิน” ผมเลยถามต่อว่า “แล้วคุณแม่ว่ายังไงครับ” คุณแม่ก็บอกว่า “แม่บอกว่าแม่ไม่ไหวเพราะเหนื่อยจริงๆ ขอพักเถอะ ไว้เดี๋ยวค่อยโฟนอินอีกวันหนึ่งแทน” ผมก็โอเคว่าไม่มีอะไรและวางหูไป
หลังจากนั้นทีมงานที่นั่งไปด้วยที่ผมบอกว่าให้พาไปเลี้ยงข้าว สรุปคือ ไม่มีใครได้กินข้าวกันเพราะคุณแม่ น้องบีม และอาสากาชาดที่พามาอยากกลับบ้านเลย ไม่อยากแวะไหนแล้ว ทีมงานของผมก็เลยติดรถไปด้วย จนกระทั่งไปถึงบ้านคุณแม่ ทีมงานคนนี้ก็โทร.เข้ามาหาบอกว่า “พี่ครับๆ พอดีว่ามีนักข่าวจากสถานีแห่งหนึ่งมายืนรอที่หน้าบ้านและไปคุยกับคุณแม่ว่าจะโฟนอิน พี่หนุ่มคิดว่ายังไงครับ”
ผมก็บอกว่า “ไม่ได้ติดอะไร แต่ว่าให้ทางทีมงานโทร.คุยกับโปรดิวเซอร์รายการและให้โปรดิวเซอร์โทร.ไปคุยกับทางคุณแม่หน่อยว่าประเด็นที่จะพูดไม่ติดอะไรเลย ขอแค่อย่างเดียวว่าประเด็นที่สัมภาษณ์ไปในรายการโหนกระแส ขอเผื่อไว้ให้รายการหน่อยเพราะอยากได้พื้นที่ เนื่องจากรายการออกตอน 2 ทุ่มครึ่ง ถ้าเกิดคุณแม่ไปพูดในประเด็นเดียวกันมันก็อาจจะทำให้ซ้ำกัน” คืออันนี้พูดกันตรงๆ ไม่ได้ต้องแอ๊บเลย
ปรากฏว่าโปรดิวเซอร์โทร.ไปจริงๆ ทีมงานของผมที่อยู่ที่นั้นก็พยายามเอาโทรศัพท์ไปยื่นให้คุณแม่แต่ว่าไม่ทันแล้วเพราะโฟนอินแล้ว โดยที่คุณแม่ก็ไม่ได้กลับมารับโทรศัพท์ทางโปรดิวเซอร์รายการของผม แต่คุณแม่เดินกลับเข้าไปในห้องและไปคุยสาย ซึ่งโทรศัพท์อันนั้นก็เป็นของทางนักข่าวของสถานีนั้นที่ยืนอยู่ตรงนั้น แล้วนักข่าวคนนั้นก็ยังบอกกับทีมงานของผมเลยว่า “ไม่ทันแล้ว เขาโฟนอินแล้ว เดี๋ยวโฟนอินเสร็จแล้วค่อยคุยเนอะ” ทางทีมงานของผมก็บอกว่า “โอเคครับ ไม่เป็นไร” เรื่องราวมันเป็นแบบนี้”
“หลังจากนั้นก็เกิดเหตุการณ์ตามที่ได้ยินได้ฟังมา คือพิธีกรในรายการนั้นพูดขึ้นมาบอกทำนองว่า “ท่าทางคุณแม่จะคุยไม่ได้แล้ว เพราะเหมือนมีคนของสถานีแห่งหนึ่งไปคุมตัวเอาไว้ ลักษณะเหมือนแบบกักขังหน่วงเหนี่ยวเพื่อไม่ให้สื่ออื่นๆ ได้มีการทำข่าว กรณีแบบนี้ความจริงน่าจะช่วยเหลือกัน”
ประโยคที่เขาพูดจะประมาณนี้เพราะผมก็ไม่ได้ฟังชัดเจน แต่รู้สึกตกใจเพราะบอกด้วยว่าทางทีมงานมีการเก็บหรือแย่งชิงโทรศัพท์อะไรสักอย่าง ทำให้คุณแม่คุยสายไม่ได้ อันนี้ผมยิ่งงงว่ามันเกิดอะไรขึ้น เลยโทร.กลับไปถามทีมงานว่า “เฮ้ย! คุณทำแบบนั้นเหรอ ไปดึงโทรศัพท์เขามา ไปก่อกวน และกักขังหน่วงเหนี่ยวเขาเหรอ” ทีมงานก็บอกว่า “เปล่าเลยครับพี่ ผมแค่เอาโทรศัพท์ของโปรดิวเซอร์ที่โทร.เข้ามาจะไปยื่นให้คุณแม่แต่ว่าไม่ทันแล้ว ผมก็เลยเดินออกมา”
ผมก็เลยงงเข้าไปอีกเลยโทรศัพท์ไปถามคุณแม่เองเลยว่า “ผมถามจริงๆ นะครับคุณแม่ เกิดเหตุการณ์อะไรขึ้น คนของผมไปทำอะไรคุณแม่หรือเปล่า” สิ่งที่คุณแม่ตอบมาคือ “เปล่าเลย แต่ที่คุยอึกอักๆ เหมือนคุยไม่รู้เรื่องเพราะฟังทางโน้นไม่รู้เรื่องเลยค่ะ เสียงไกลมาก เลยส่งให้ลูกแม่พูด แล้วแม่ก็เลยมาคุยกับทางคุณอี้ (แทนคุณ) ว่า คุณอี้รู้เรื่องแม่ก็เล่าไปเลย แม่ยินดี” เรื่องทั้งหมดมีอยู่เท่านี้
แต่กลายเป็นความเข้าใจผิดและกลายเป็นเรื่องไป คือเอาจริงๆ ผมก็ไม่รู้ว่าตอนที่ทีมงานของผมพยายามเอาโทรศัพท์ไปยื่นให้คุณแม่ จังหวะนั้นทำให้ทางโน้นเข้าใจผิดว่าทีมงานของผมจะไปขัดขวางหรือแทรกแซงการทำงานหรือเปล่า แต่ผมยืนยันได้ว่าไม่ได้มีเจตนาแบบนั้นแน่นอน”
“ทีนี้ประเด็นมันอยู่ตรงที่ว่า ณ วันนี้ผลกระทบที่มันตามมากลายเป็นว่ารายการของผมไปแทรกแซงการทำงานของเขาที่กำลังโฟนอิน ซึ่งผมยืนยันว่าไม่มีการแทรกแซงแน่นอน อีกอย่างเรื่องนี้พอมีการพูดออกไปก็มีผลกระทบไปถึงสถานีฯ ยิ่งไปกว่านั้นผลกระทบตามไปถึงตัวคุณแม่
เนื่องจากคุณแม่ได้มีการออกมาพูดกับเพจของจ่าพิชิต ซึ่งคุณแม่ก็เล่าเหตุการณ์ให้ทางจ่าพิชิตฟังทั้งหมดและจ่าพิชิตก็เลยมาลงข้อความให้ว่าเรื่องราวเป็นยังไง อาจจะมีความเข้าใจผิดตรงไหน ปรากฏว่าก็มีคนไปด่าคุณแม่ว่าโกหก พยายามช่วยรายการของผม ทำไมถึงไม่อยากให้คนอื่นช่วย เพราะรายการนี้ให้เงินมาเยอะหรือไง ผมยืนยันเลยว่าไม่เคยให้เงินคุณแม่เลย มีแต่ความช่วยเหลือที่ขึ้นเบอร์บัญชีให้เท่านั้นเอง”
แล้วที่มีข่าวบอกว่าพี่หนุ่มส่งรถไปตามประกบและยึดโทรศัพท์คุณแม่เอาไว้?
“เรื่องนี้ไม่เป็นความจริงแน่นอน นี่มันคือชีวิตจริง ไม่ใช่หนังหรือละคร แต่ถามว่าให้น้องทีมงานขึ้นรถไปด้วยไหม อันนั้นใช่เพราะจะให้ไปเลี้ยงข้าวและพาไปส่งบ้าน ส่วนว่ามีการยึดโทรศัพท์ไหม ต้องถามก่อนว่ายึดที่ไหน รวมถึงที่บอกว่าผมโทร.สายตรงไปหาคุณแม่เพื่อบอกว่าไม่ให้พูดเพราะผู้ใหญ่ทางช่อง 3 ขอนั้น จริงๆ เรื่องนี้ถ้ามีโอกาสถามคุณแม่น่าจะได้คำตอบที่ดีที่สุดว่าผมทำอะไรแบบนั้นหรือเปล่า”
ล่าสุดได้สอบถามไปทางคุณแม่หรือยังว่าเป็นยังไงบ้างหลังจากเกิดกระแสข่าวแบบนี้ออกมา?
“ผมคุยตั้งแต่เมื่อคืน คุณแม่ก็บอกว่ารู้สึกไม่ดี ทำไมมีเหตุเข้าใจผิดแบบนี้ แล้วก็มีคนมาต่อว่าว่าทำไมทำแบบนี้ ไม่อยากให้คนอื่นช่วยเหรอ คุณแม่บอกว่าอยากให้คนอื่นช่วยแต่เมื่อวานเหนื่อยจริงๆ ไม่รู้จะทำยังไง ผมเห็นใจและสงสารคุณแม่ที่ไม่ได้ทำผิดอะไรแต่ต้องมาถูกด่าไปด้วย”
ได้มีโอกาสพูดคุยกับพิธีกรของทางสถานีฯ แห่งนั้นไหม?
“ผมพยายามติดต่อไปแต่ยังไม่ได้คุย โดยส่วนตัวทำงานและเคยเจอกัน มีความสัมพันธ์ที่ดีเพราะตัวน้องเขาเป็นคนน่ารัก และเอ็นดูน้องมายู ลูกสาวของผมด้วย ฉะนั้นไม่ได้มีเรื่องโกรธเคืองอะไรกัน ที่สำคัญผมก็ทำงานในสถานีฯ แห่งนี้และมีสัมพันธ์ที่ดีต่อกันเหมือนเดิม คิดว่าน่าจะเป็นเรื่องของการเข้าใจผิดกันเท่านั้นเอง แต่จริงๆ เรื่องนี้อย่าไปหาคนผิดคนถูกเลย สุดท้ายอาจจะเป็นเรื่องการสื่อสารคลาดเคลื่อน ถ้าหากว่าทีมงานของผมเอาโทรศัพท์ไปยื่นให้ในจังหวะที่คุณแม่กำลังโฟนอินอยู่และทำให้คุณแม่ตะกุกตะกัก ผมก็ต้องกราบขอโทษไว้ ณ ตรงนี้ด้วยครับ”