ผู้สื่อข่าวโดดเด่นดอทคอม รายงานว่า นพ.วันชัย สัตยาวุฒิพงศ์ เลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา เปิดเผยถึงกรณีรายงานจากมหาวิทยาลัย Bern ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ในวารสาร British medical journal เมื่อวันที่ 11 มกราคม 2554 ระบุการศึกษาเกี่ยวกับยา NSAID ทั้งกลุ่ม conventional และ COX-2 inhibitors เป็นสาเหตุในการเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคเส้นเลือดหัวใจ เส้นเลือดสมองตีบ และเสียชีวิตเนื่องจากระบบหัวใจและเส้นเลือด นั้น
สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ขอแจ้งให้ทราบว่า เรามีการควบคุมกำกับดูแล ยากลุ่ม NSAID ( Nonsteroidal anti-inflammatory drug ) หรือ ยาต้านการอักเสบชนิดที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ อย่างใกล้ชิดอยู่แล้ว และเพื่อความปลอดภัยของผู้บริโภค อย.จึงกำหนดให้ยากลุ่มนี้เป็น “ยาอันตราย” ซึ่งต้องสั่งจ่ายโดยแพทย์หรือเภสัชกร และให้ระบุคำเตือน ข้อบ่งใช้ที่สำคัญในฉลากและเอกสารกำกับยา
โดยยากลุ่ม conventional NSAIDs เช่น ไอบูโปรเฟน , ไดโคฟิเนก, อินโดเมทาซิน , นาโพซิน , มีเฟนิเมกเอซิด , ไพรอกซิแคม ระบุคำเตือน “ยานี้อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการตีบตันของหลอดเลือดสมองและหลอดเลือดหัวใจโดยเฉพาะ เมื่อใช้ยาในขนาดสูงเป็นเวลานาน” ข้อบ่งใช้ “ใช้รักษาอาการปวดและอักเสบในโรคข้ออักเสบ รูมาตอยด์ ข้อเสื่อม กระดูกสันหลังอักเสบ แก้ปวดประจำเดือน”
เฉพาะ ไอบูโปรเฟน ระบุข้อบ่งใช้ในการลดไข้ และอาการปวดศีรษะไมเกรน สำหรับยากลุ่ม selective COX-2 inhibitors เช่น มีรอกซิเคม , เซเรคอกสิบ, พาเรคอกสิบ , เอทอริคอกสิบ ระบุคำเตือน “ห้ามใช้ยานี้ในผู้ป่วยโรคเกี่ยวกับหลอดเลือดหัวใจ หรือหลอดเลือดสมอง” และข้อบ่งใช้ ระบุ “รักษาอาการของโรคข้อเสื่อม โรคข้ออักเสบ รูมาตอยด์ รักษาอาการปวดเฉียบพลัน รักษาอาการปวดประจำเดือนชนิดปฐมภูมิ รักษาอาการปวดหลังส่วนล่าง บรรเทาอาการและอาการแสดงของโรคข้อและข้อสันหลังอักเสบ”
เลขาธิการฯ กล่าวต่อไปว่า อาการข้างเคียงของยากลุ่ม NSAID ที่สำคัญคือ ระคายเคืองทางเดินอาหาร และลดความต้านทานของผนังของกระเพาะและลำไส้ มีผลทำให้เกิดอาการปวดท้อง คลื่นไส้ อาเจียน เลือดออก และเป็นแผลในทางเดินอาหารได้
ส่วนมากมักเกิดจากใช้ยาขนาดสูงติดต่อกันเป็นเวลานาน ดังนั้น จึงต้องรับประทานยานี้พร้อมหรือหลังอาหารทันที และห้ามใช้ในผู้ที่เป็นโรคแผลในทางเดินอาหารอยู่แล้ว นอกจากนี้ยังต้องระมัดระวังการใช้ยาในคนไข้โรคไต โรคตับ โรคหัวใจ โรคหอบหืด และในคนที่เลือดแข็งตัวช้า เพราะยาอาจไปทำให้สภาวะของโรคเหล่านี้เลวร้ายมากยิ่งขึ้น
สำหรับสตรีมีครรภ์ไม่ควรใช้ยาใด ๆ ทั้งสิ้น ในระยะ 3 เดือนแรกของการตั้งครรภ์ หลังจากนั้นหากจำเป็นจะต้องใช้ยากลุ่มนี้ ให้ใช้ในขนาดยาต่ำที่สุดที่จะให้เกิดผลในการรักษา และใช้เท่าที่จำเป็นเท่านั้น และหยุดใช้หากไม่มีอาการ ขอให้อ่านฉลากก่อนใช้ยา และมีข้อสงสัยควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกร เพื่อการใช้ยาอย่างปลอดภัย