ภาพโดย : โดดเด่นดอทคอม
หลายๆ คน คงเคยเจอประสบการณ์การทำมือถือตกพื้นมาบ้าง บางครั้งตกไม่แรงก็แค่เป็นรอยแต่ถ้าแรงหน่อยถึงขั้นหน้าจอแตก หรือถ้าร้ายกว่านั้น ก็คือการทำมือถือตกส้วม ซึ่งนอกจากอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์จะโดนน้ำแล้ว ยังเปื้อนสิ่งที่อยู่ในน้ำอีกด้วย วันนี้ก็เลยจะเอารวบรวมวิธีการป้องกันมือถือจากความเสียหายเหล่านี้พร้อม วิธีดูแลสมาร์ทโฟนด้านอื่นๆ มาฝากกัน
– ดูแลตั้งแต่ภายนอกและภายใน
ควรต้องหมั่นดูแลความสะอาดของหน้าจอมือถืออยู่เสมอเพราะนี่คือส่วนที่สัมผัสกับใบหน้าของเราบ่อยครั้งจึงควรทำความสะอาดทุกๆ วัน อาจะใช้น้ำยาทำความสะอาดหน้าจออเนกประสงค์ฉีดแล้วใช้ผ้าไมโครไฟเบอร์ที่จะไม่ทำให้เครื่องเกิดรอยมาถู
เลี่ยงวางเครื่องไว้บนพื้นผิวแข็งหรือขรุขระ ถ้าหากต้องวางก็ควรปิดโหมดสั่นเพื่อแจ้งเตือนทิ้งเพราะการสั่นอาจทำให้เครื่องเป็นรอยได้ รวมถึงเวลาที่วางไว้บนโต๊ะหรือที่สูงด้วยเพราะการสั่นอาจทำให้เครื่องขยับและตกลงมาจากที่สูงได้เช่นกัน
นานๆ ครั้งก็ทำความสะอาดพอร์ทเชื่อมต่อของเครื่องบ้างโดยการเอาแปรงสีฟันที่ไม่ใช้และจุ่มแอลกอฮอลล์เล็กน้อยแล้วมาถูทำความสะอาดตามช่องพอร์ทต่างๆ
นอกจากตัวเครื่องภายนอกแล้วเรายังต้องดูแลภายในเช่นการอัพเดตมือถือให้เป็นเวอร์ชั่นล่าสุดอยู่เสมอเพราะการทำเช่นนี้จะไปช่วยอุดรูรั่วด้านความปลอดภัยต่างๆ ทั้งยังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานของตัวเครื่องด้วย
อีกเรื่องที่สำคัญก็คือเรื่องแบตเตอรี่เพราะเดี๋ยวนี้แบตเตอรี่ของสมาร์ทโฟนมักทำมาเป็นแบบถอดเปลี่ยนไม่ได้เราจึงยิ่งต้องให้ความสำคัญกับการดูแลแบตเตอรี่มือถือ ก่อนอื่นต้องมาทำความเข้าใจกันก่อนนะคะว่าแบตเตอรี่เสื่อมเพราะอะไร? นอกจากการเสื่อมไปตามกาลเวลาแล้วแบตเตอรี่ยังมี Charge cycle ซึ่งเป็นรอบการใช้งานก่อนที่จะเริ่มเสื่อมสภาพซึ่งการนับรอบจะนับเมื่อเราใช้มือถือจาก 0- 100% เป็นหนึ่งรอบ เช่นการใช้แบตเตอรี่จาก 100% ลดไปเหลือ 50% นำไปชาร์จเพิ่มจนเต็ม แล้วใช้ อีก 50% นับเป็น 1 Charge cycle เป็นต้น
ในการชาร์จแบตเตอรี่เมื่อเหลือน้อยๆ นั้นจะทำให้แบตเตอรี่เสื่อมเร็ว แต่ถ้าแบตลดไปนิดเดียวแล้วรีบชาร์จก็ไม่ดีเช่นกัน ถ้าจะให้ดีควรจะชาร์จเมื่อแบตเตอรี่เหลือราว 50% จึงเสียบชาร์จ แต่ทั้งนี้ทุกๆ 1-3 เดือนก็ควรใช้จนแบตหมดไปเลยบ้างเพื่อไม่ให้ระบบคำนวณเวลาใช้งานแบตเตอรี่เกิดคลาดเคลื่อนจากการที่เราชาร์จเป็นช่วงสั้นๆ บ่อยเกินไป
หลีกเลี่ยงการวางสมาร์ทโฟนไว้ในที่ร้อนเพราะความร้อนเองก็ยังมีผลต่อการเสื่อมของแบตเตอรี่ด้วย ยิ่งร้อน แบตเตอรี่ยิ่งเสื่อมเร็ว และยิ่งแบตเหลือความจุเยอะๆ ก็จะยิ่งเสื่อมเร็วขึ้นด้วยดังนั้นหากจะปิดเครื่องไว้ก็ควรทิ้งแบตเตอรี่ในเครื่องที่ 40% จะถือว่าดีต่อแบต และยังควรเลี่ยงการใช้งานระหว่างชาร์จเพราะจะยิ่งทำให้เครื่องร้อนด้วย
สุดท้ายคืออย่าเอาชาร์จไฟโวลต์สูงเกินไปมาชาร์จมือถือเพราะการอัดไฟแบบนี้อาจทำให้ชาร์จไฟเข้าไปได้มากกว่า 100% ของที่เก็บทำให้เกิดการเสื่อมสภาพได้ ทางที่ดีที่สุดคสรจะใช้ที่ชาร์จที่มีระบบตัดไฟหรือที่ชาร์จของแท้ค่ะ
-เลี่ยงสถานการณ์เสี่ยง
จริงๆ เรื่องนี้เป็นเรื่องทั่วๆ ไปที่ผู้ใช้งานรู้กันอยู่แล้วแต่อาจจะหลงลืมหรือเผลอเรอไปบ้าง เช่นการไม่ใส่มือถือไว้ในกระเป๋าหลังกางเกงเพราะอาจเผลอไปนั่งทับหรือทำตกโถส้วมตอนเข้าห้องน้ำได้, ไม่วางมือถือไว้บนของระเบียงหรือยื่นมือถือออกไปนอกระเบียงเพื่อถ่ายภาพ, ไม่ใส่มือถือรวมกับเหรียญ กุญแจ หรือของมีคมต่างๆ หรือการไม่ทิ้งมือถือไว้ในที่ที่มีอุณหภูมิสูงเกินไป เช่นในรถที่จอดตากแดดนานๆ จำไว้ว่าถ้าเราจับเครื่องแล้วรู้สึกร้อนเท่าไหร่ ข้างในเครื่องจะร้อนกว่านั้นแน่นอน
-ปกป้องมือถือด้วยอุปกรณ์เสริม
แน่นอนว่าอุปกรณ์เหล่านี้เรารู้จักกันดีไม่ว่าจะเป็เคสแบบต่างๆ ซึ่งเดี๋ยวนี้ก็มีให้เลือกมากมายจนกลายเป็นส่วนหนึ่งของแฟชั่นในการแต่งตัวไปเสียแล้ว แต่แนะนำเวลาเลือกเคสถ้าจะให้ดีควรเลือกเคสที่คลุมไปถึงของจอด้านหน้าด้วยเพราะเวลามือถือตกส่วนมากจะเอามุมขอบจอลงกระแทกพื้นการหาเคสแบบที่ปิดไปถึงขอบจอก็จะช่วยลดการกระแทกนี้ได้ หรือถ้าใครยังอยากโชว์ดีไซน์สวยๆ ของมือถือไว้ก็อาจจะลองเคสแบบใสดูได้ค่ะ อีกอย่างที่สำคัญไม่แพ้กันก็คือฟิล์มกันรอยยิ่งเดี๋ยวนี้มีฟิล์มให้เลือกหลากหลายมากยิ่งขึ้นอย่างเช่นฟิล์มกันจอแตกที่จะช่วยลดความเสี่ยงเวลาตกก็จะช่วยถนอมเครื่องของเราได้เช่นกัน
เหล่านี้คือวิธีง่ายๆ ที่สามารถเอาไปใช้ดูแลสมาร์ทโฟนกันได้ หรือถ้าใครไม่ชัวร์ก็อาจจะทำประกันเครื่องควบคู่ไปด้วยเพื่อความอุ่นใจอีกขั้นก็ไม่ว่ากัน