ที่มา:
Springnews
กรณี ตำรวจภาค 5 ร่วมกับทหารบุกตรวจสอบวัดห้วยลิ้นจี่ อ.ดอยหล่อ จ.เชียงใหม่ หลังมีชาวบ้านร้องเรียนว่าอดีตเจ้าอาวาส วัดวัดห้วยดินจี่ ได้สร้างวัตถุมงคลใช้วิชาไสยศาสตร์ โดยนำซากศพเด็ก 4 ศพ มาผสม และฝังศพเด็กไว้ใต้ฐานพระพรหมและศาลฤาษี
ล่าสุด พล.ต.ต.ปชา รัตนพันธ์ รองผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 5 เปิดเผยนายเฉลิม ด้วงทอง อายุ 31 ปี อดีตเจ้าอาวาสวัดห้วยดินจี่ ได้เข้าพบกับเจ้าหน้าที่ตำรวจแล้ว พร้อมรับสารภาพว่าได้นำศพไปฝังไว้จริง ซึ่งได้มีการประกอบพิธีสะกดวิญญาณเพื่อใช้ทำของขลัง ซึ่ง 1 ศพ ในนั้นได้มาจากชายไทย อายุประมาณ 40 ปี เศษ ไม่ทราบชื่อ นามสกุลจริง เมื่อประมาณ ปี พ.ศ. 2552-2553 เพื่อทำบุญให้กับเด็กทารกที่เสียชีวิต โดยชายคนดังกล่าวได้มอบศพเด็กทารก และขอฝากศพเด็กไว้เป็นบุตรกับตนเอง ซึ่งขณะนั้นยังเป็นพระจากนั้นนายเฉลิม ได้นำศพเก็บไว้กุฏิตลอดมา จนถึงวันที่ 15 เม.ย. 2557 ได้ทำพิธีบรรจุศพไว้ใต้ฐานองค์พระพรหมในบริเวณวัด โดยไม่คิดว่าจะมีปัญหาเกิดขึ้นในภายหลัง จนกระทั่งทราบข่าวจากทางเจ้าหน้าที่ตำรวจ และทางสื่อออนไลน์ จึงเดินทางเข้าพบเจ้าหน้าที่ตำรวจ และยืนยันว่า ที่กระทำลงไปนั้นด้วยความบริสุทธิ์ใจ มิได้มีเจตนาจะปิดบังซ่อนเร้นหรือ อำพรางศพแต่อย่างใด
ทั้งนี้ พนักงานสอบสวนและชุดสืบสวนภาค 5 ได้นำตัวนายเฉลิม ไปชี้จุดที่ฝังศพเด็ก โดยชาวบ้านได้ยินยอมให้ เจ้าหน้าที่ขุดศพเด็กขึ้นมาได้ จากนั้นเจ้าหน้าที่จะสืบสวนว่าศพเด็กเหล่านั้น มีที่มาที่ไปอย่างไร และมีทั้งหมดกี่ศพ ก่อนจะดำเนินคดีตามกฎหมายกับผู้เกี่ยวข้องทั้งหมดต่อไป
นอกจากกรณีของนายเฉลิมแล้ว เจ้าหน้าที่ตำรวจยังพบข้อมูลว่า ยังมีบรรดาพระสงฆ์ในจังหวัดเชียงใหม่อีกหลายรายที่เล่นไสยเวทย์ หรือเรียกว่า สายดำ และมักจะติดต่อขอซื้อศพเด็กมาจากสัปเหร่อ ขณะที่สัปเหร่อจะได้รับมอบศพเด็กจากโรงพยาบาลเพื่อนำมาฌาปนกิจ โดยพบว่ามีการซื้อขายศพเด็กสูงถึง 5,000 บาท และหากเป็นศพเด็กทารกจะมีราคาสูงขึ้น เพราะสามารถใช้ทำกุมารทอง หรือ ลูกกรอกได้ ซึ่งชุดสืบสวนภาค 5 กำลังเร่งรวบรวมพยานหลักฐานเพื่อเข้าไปตรวจสอบและดำเนินคดีตามกฏหมายกับขบวการซิ้อขายศพทารก