ผู้ช่วยศาสตราจารย์จัสติน เบอร์ตัน ผู้เชี่ยวชาญด้านกายภาพของภูเขาน้ำแข็งจากมหาวิทยาลัยเอโมรี กล่าวเตือนถึงอันตรายว่าภูเขาน้ำแข็งขนาดใหญ่สามารถพลิกตัว 90 องศาได้ และก่อให้เกิดพลังมากพอที่จะสร้างความเสียหายได้มหาศาลกับพื้นที่ใกล้เคียง
การพลิกของภูเขาน้ำแข็งนั้นเป็นสภาพปกติตามธรรมชาติที่เกิดขึ้นนานๆ ครั้ง เนื่องจากปกติภูเขาน้ำแข็งจะละลายในลักษณะค่อยๆ บางลง และแตกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยในที่สุด
อย่างไรก็ตาม อุณหภูมิโลกที่ร้อนขึ้นทำให้รอบนอกของภูเขาน้ำแข็งละลายมากขึ้นเรื่อยๆ ส่งผลให้เกิดภูเขาน้ำแข็งที่อยู่ในลักษณะเรียวสูงจำนวนมาก ทำให้มีโอกาสจะพลิกตัว 90 องศาเพิ่มมากขึ้นตามไปด้วย เมื่อเกิดการพลิกตัวในลักษณะนี้ของภูเขาน้ำแข็งที่มีมวลหลายๆ คิวบิกกิโลเมตร จะก่อให้เกิดพลังกระจายออกไปรอบด้านสูงมาก เทียบเท่ากับแรงระเบิดของระเบิดทีเอ็นทีหนัก 40 กิโลตัน หรือมากกว่าแรงระเบิดนิวเคลียร์ลูกแรกที่มีการทดลองระเบิดในโครงการแมนฮัตตันของสหรัฐอเมริกาถึง 2 เท่า
เบอร์ตันระบุว่า พลังงานดังกล่าวสามารถก่อให้เกิดคลื่นยักษ์สึนามิและทำให้เกิดแผ่นดินไหวที่ระดับ 5 แมกนิจูด ซึ่งสามารถรู้สึกได้ห่างออกไปหลายพันกิโลเมตร ย้อนหลังไปเมื่อทศวรรษ 90 เคยเกิดเหตุภูเขาน้ำแข็งพลิกใกล้กับหมู่บ้านแห่งหนึ่งในกรีนแลนด์ ก่อให้เกิดคลื่นสึนามิที่ทำลายพื้นที่ใกล้เคียงเสียหายอย่างร้ายแรง
จากการรวบรวมข้อมูลศึกษาของเบอร์ตันพบว่า ปรากฏการณ์ภูเขาน้ำแข็งพลิกนั้นในเวลานี้เกิดขึ้นอย่างน้อย 30 ครั้งต่อปี ทั้งๆ ที่เมื่อปี 1993 เกิดขึ้นเพียงปีละ 7 ครั้งเท่านั้น