เสียงเพลงดังมาจากห้องน้ำหลังบ้านไม้ในหมู่บ้านชนบท ห้องน้ำคือเวที ฝักบัวคือไมโครโฟน กระจกอยู่ตรงหน้า “หนูมาลี” เป็นสาวเหนือจากหมู่บ้านเล็กๆ ในจังหวัดเงียบสงบทางภาคเหนือ หนูมาลีเติบโตมาด้วยน้ำมือปู่คนเก่งชอบช่วยเหลือแต่เป็นอัลไซเมอร์ชื่อ “ปู่เชื้อ” และย่าหูตึงใจดีแต่มักทำผิดเพราะฟังไม่ได้ยินชื่อ “ย่าหงส์” ดอกหนูมาลีดอกงามเติบโตอย่างไม่มีพ่อแม่ด้วยมือคนแก่ หนูมาลีจึงใช้ชีวิตส่วนใหญ่อยู่กับทีวีและวิทยุแทบทั้งวัน
หนูมาลีมีความฝันว่าตนจะได้มีโอกาสเข้าร่วมประกวดร้องเพลงแล้วชนะเลิศ และได้พบพ่อบังเกิดเกล้า “เรืองยศ” หรือ พ่อเรือง ที่เข้าไปทำงานในกรุงเทพ
ทุกๆเดือนหนูมาลีจะไปที่ไปรษณีย์เพื่อรับเงินที่พ่อเรืองส่งมาให้ ภาพจำสุดท้ายของหนูมาลี คือเมื่อตอนสามขวบ พ่อเรืองในชุดทหารเกณฑ์ เอาข้าวของมากมายมาเยี่ยมปู่ย่า และเข้ามากอดหนูมาลีอย่างรักใคร่ หลังจากนั้นพ่อก็ได้แต่ส่งเงินและจดหมายมา ทุกๆวันสงกรานต์ ปู่ ย่า และหนูมาลี จะไปรอที่ปากทางหมู่บ้านแต่พ่อเรืองก็ไม่มา ปู่บอกว่า พ่อเป็นทหารที่เก่งมาก ป่านนี้คงเป็นเจ้าคนนายคน จึงส่งเงินและจดหมายที่มีแต่ความห่วงใยกลับมาบ้านได้สม่ำเสมอ ปู่และย่าภูมิใจในตัวพ่อเรืองมาก
สำหรับหนูมาลี พ่อเรืองคือดวงใจ คือจุดหมาย คือทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิต โดยไม่จำเป็นต้องมีแม่ ! ปู่เคยเล่าให้ฟังว่า พ่อเรืองกับแม่เป็นเพื่อนนักเรียนกัน ทั้งสองแอบได้เสียกันตอนงานลอยกระทง แม่ของหนูมาลีเกิดท้อง ด้วยความที่แม่ของหนูมาลีใฝ่แสงสีในเมืองหลวง หลังจากคลอดลูกก็ทิ้งลูกไว้แล้วหนีเข้ากรุงเทพ พ่อเรืองคนนี้เองที่ไปตระเวณหาลูก ถึงกับต้องขโมยเด็กขึ้นรถสองแถวหนีจากสังคมสงเคราะห์ เรืองยศพาหนูมาลีกลับบ้านมาให้พ่อกับแม่เลี้ยง แล้วดิ้นรนไปหางานทำในเมืองหลวงเพื่อส่งเสียให้หนูมาลีได้เรียนสูงๆ ให้พ่อกับแม่ได้มีเงินรักษาตัวยามเจ็บไข้ พ่อเรืองพูดคุยกับหนูมาลีทางจดหมายปีละครั้ง แต่หนูมาลีส่งจดหมายถึงพ่อเสมอทุกเดือน สิ่งเดียวที่หนูมาลีไม่เข้าใจคือ ทำยังไงพ่อเรืองก็ไม่ยอมให้หนูมาลีออกจากหมู่บ้านไปหาพ่อที่กรุงเทพ ทุกครั้งที่หนูมาลีส่งจดหมายก็ได้แต่ส่งเข้าตู้ไปรษณีย์เลขที่ 14 ไปรษณีย์รัชดา โดยไม่บ่งบอกที่อยู่ใดๆ
เมื่อหนูมาลีเรียนจบม.6 หนูมาลีตัดสินใจแน่วแน่ จะเข้ากรุงเทพไปหาพ่อ หนูมาลีตั้งใจจะไปประกวดร้องเพลงในรายการทีวี “สี่แยกนักฝัน” รายการโทรทัศน์ที่มีชื่อเสียงดังที่สุดในประเทศด้านการหาซุปเปอร์สตาร์ ร้องและเต้น ฝันที่หนึ่งและที่สองของหนูมาลีจะต้องถูกกระทำให้สำเร็จในวันนี้ หนูมาลีคิดในหัวเสร็จสรรพก็ทิ้งจดหมายไว้แล้วหนีปู่กับย่าเข้ากรุงเทพ หนูมาลีจะไปดักรอพ่อที่หน้าไปรษณีย์ ยังไงเสียพ่อต้องมาไขตู้เอาจดหมายที่ตนส่งมาทุกเดือน
หนูมาลีเดินทางเข้ากรุงเทพฯ พอถึงสถานีขนส่งที่เป็นเวลาเดียวกับที่อธิ นายตำรวจหนุ่ม กำลังตามจับคนร้าย อธิขอตรวจค้นกระเป๋าหนูมาลี หนูมาลีคิดว่าอธิเป็นคนร้ายจึงวิ่งหนี ทองทา เพื่อนของอธิจึงช่วยจับตัวหนูมาลี หนูมาลีใช้สนับมือต่อสู้ จนหน้าอกทองทาเป็นแผล ทองทาและอธิจับตัวหนูมาลีได้ในที่สุด กว่าจะอธิบายกันเข้าใจก็ทำเอาทุกคนเหนื่อย อธิต้องไปทำงานต่อ จึงให้ทองทาเป็นคนไปส่งหนูมาลีแทน หนูมาลีตามทองทามาที่ทำงาน ได้รู้จักกับเพื่อนสาวของทองทา และด้วยความที่ทองทาเป็นหนุ่มมาดเนี้ยบ แต่งตัวดี ท่าทางสุภาพ จึงทำให้หนูมาลีเข้าใจผิด คิดว่าทองทาเป็นเกย์
ตอนค่ำ หนูมาลีไปรอพ่อที่ตู้ไปรษณีย์ หวังว่าจะได้พบพ่อ ที่มาไขเอาตู้จดหมายของเธอ หนูมาลีโชคร้าย โดนชายขี้เมาลวนลาม โชคดีทองทาช่วยไว้ได้ เขาจึงพาเธอไปพักที่บ้านชั่วคราวหนึ่งคืน ทองทารู้สึกประทับใจในความใสซื่อ จริงใจและใบหน้าที่สวยงามของหนูมาลี เขารู้สึกขำกับอาการตีความเอาเองของหนูมาลีหลายๆอย่าง ก็เลยเออออห่อหมกไปกับหนูมาลี อยู่ช่วยเหลือหนูมาลีไปเรื่อยๆ อย่างน้อยก็ได้นอนเคียงข้างสาวสวยช่างฝันที่พูดคุยสนุกทุกคืน เขาไม่เคยคิดมาก่อนว่าจะสนิทสนมกับหนูมาลีรวดเร็วขนาดนี้
ทองทาก้มมองที่หน้าอกด้านซ้ายที่มีหัวใจอยู่ตรงนั้น รอยแผลจากสนับมือทำท่าจะกลายเป็นแผลเป็น เหมือนความประทับใจในตัวสาวน้อยที่ดูจะเพิ่มมากขึ้น ไม่มีทีท่าจะลดน้อยลง !
หนูมาลีที่กลายเป็นเพื่อนสาวกับทองทา วนเวียนอยู่หน้าไปรษณีย์ เพื่อรอพ่อเรืองที่จะมาไขตู้ ผ่านไปหนึ่งสัปดาห์ มีมอเตอร์ไซค์ของเด็กสาววัยรุ่นคนหนึ่งมาไขตู้ป.ณ.14 หนูมาลีวิ่งเข้าไปหาสาวสวย แต่งตัวเปรี้ยวคนนั้น เธอชื่อ “ชงโค” ชงโคเป็นพนักงานนั่งดริ๊งค์ในร้านคาราโอเกะชื่อ “ท้ายซอยคาราโอเกะ” จากปากคำของชงโค จดหมายฉบับนี้จะถูกส่งให้เจ้าของร้านคาราโอเกะแห่งนี้ หนูมาลีจึงตามชงโคไปที่ร้าน
หนูมาลีก็ขอความช่วยเหลือจากสาวชื่อ “การะเกด” การะเกดเป็นสาวสวยน่ารัก เรียบร้อย จิตใจงามจากแดนอีสาน การะเกดบอกว่า คนขับรถเก๋งสีแดงเก่าๆคันนั้นไง เจ้าของจดหมาย เจ้าของตู้ไปรษณีย์ หนูมาลีหันไปมอง รถติดฟิล์มดำที่กำลังจะขับออกไปคันนั้นหรือคือเจ้าของจดหมาย ! คนขับรถคันนั้นหรือคือพ่อเรือง ! หนูมาลีขโมยมอเตอร์ไซค์ของชงโค ขับตามไปติดๆ หนูมาลีก็ดิ้นรนไปเจอเจ้าของรถจนได้ มันจอดอยู่หน้าสตูดิโอ คนแถวนั้นบอกว่า เจ้าของรถไปเตรียมตัวขึ้นร้องเพลงบนเวที หนูมาลีงุนงง ทำไมทหารต้องร้องเพลง ในที่สุดหนูมาลีแอบเข้าไปในสตูดิโอที่มีแต่ความมืดจนได้
ดวงตาสองข้างของหนูมาลีจับจ้องอยู่บนเวทีการแสดง ไฟแสงสีปรากฎ หนูมาลีใจเต้น พ่อเรืองที่ตนรอคอยกำลังจะปรากฎตัวขึ้นตรงหน้า และแล้วชายหนุ่มผิวขาวใบหน้าสวยเฉี่ยว สวมวิกผมสีชมพู ในชุดสีทอง ก็ปรากฎขึ้น รอยยิ้มฉาบเครื่องสำอางค์ บนร่างสูงสง่า ปรากฏตัวขึ้นราวกับราชินีแห่งคีตศิลป์ เสียงอันทรงพลังราวกับนักร้องมืออาชีพแทรกมากับดนตรีกระหึ่มบนเวที
ก่อนจะรู้ตัว ไฟรอบตัวในสตูดิโอก็สว่างขึ้น หนูมาลีมองไปรอบๆ สาวประเภทสองเกือบห้าสิบคนคนออกเสียงกรี๊ดดังลั่น แล้วโยกเต้นอย่างสุดมันส์ นี่มันงานปาร์ตี้ส่วนตัวของสาวประเภทสอง ที่จัดขึ้นโดยกระเทยรุ่นใหญ่ “แคที่” เจ้าของสตูดิโอให้เช่าแห่งนี้
หนูมาลีก้มลงมองรูปถ่ายสีของพ่อเรืองในมือที่สั่นเทาของตน ชายหัวเกรียนในชุดทหารเกณฑ์สีเขียวอุ้มกอดหนูมาลีในวัยสามขวบอย่างรักใคร่ นี่คือวันสุดท้ายที่ได้พบหน้าพ่อเรืองเมื่อ15ปีก่อน พ่อเรืองของหนูมาลีไม่ใช่ทหาร ! แต่เป็นกระเทยแต่งหญิง เขาไม่ได้เป็นนายพันหรือนายพลอย่างที่ปู่บอก ไม่ใช่แม้แต่เฮียเจ้าของร้านคาราโอเกะ แต่คือ “โรส” เจ้าของร้านคาราโอเกะที่สวยและร้องเพลงเพราะมาก
นี่เองคือคำตอบ ทำไมพ่อจึงไม่มาหาปู่ย่าและแม้แต่ลูกสาวของตัวเอง เพราะพ่อมีชีวิตอีกด้านที่น่าอับอายและไม่อยากให้ใครรู้ โดยเฉพาะคนในครอบครัว !
ไม่เพียงแต่หนูมาลีที่ตกใจ โรสเองก็จำหนูมาลีได้ทันที ทั้งสองไม่ใช่พ่อลูกที่โผเข้าหากันกอดกัน ทั้งสองนิ่งอึ้งมองหน้ากัน ไม่มีคำพูดใดๆ ! ทั้งสองไม่สามารถบอกได้ว่าตัวเองควรจะรู้สึกอย่างไรในเวลาเช่นนี้ และในที่สุดหนูมาลีก็ร้องไห้ออกมาแล้ววิ่งหนีออกไปนอกสตูดิโอ
คืนนั้นโรสกลับไปที่ร้านคาราโอเกะ แล้วเขาก็เจอหนูมาลียืนตาบวมรออยู่ หนูมาลีไม่ได้หนีกลับบ้านอย่างที่เขาคิด หนูมาลีก็เพียงแต่ยื่นใบสมัครรายการสี่แยกนักฝันให้ดู โรสหันมาบอกหนูมาลีว่า “เรียกฉันว่าพี่โรสเหมือนคนอื่น” หนูมาลีตกตะลึงแต่ก็พอใจ อย่างน้อยหนูมาลีก็ไม่ต้องคิดว่าจะเรียกพ่อหรือเรียกแม่ …เรียกว่าพี่โรสนั้นเป็นสิ่งที่ดีที่สุด หนูมาลีพบว่า เมื่อถอดเครื่องประกอบทั้งหมดออกแล้ว โรสก็เป็นเพียงผู้ชายรูปร่างหน้าตาดี มีท่าทางกระตุ้งกระติ้งมากกว่าปรกติ โรสเป็นคนปากจัด ขี้โวย เอาจริงเอาจัง ดุดัน ตรงไปตรงมา เขาเช่าที่ดินก้นซอยลึกในรัชดาเปิดเป็นร้านคาราโอเกะ
โรสไม่เคยใช้ชื่อว่าเรืองยศ ในกรุงเทพเขาเป็นที่รู้จักในฐานะของพี่โรส ผู้มีน้ำใจกว้างขวาง ทุกๆเดือน โรสจะหาความสุข ด้วยการแต่งหญิงไปปลดปล่อยความสามารถด้านการร้องเพลงของตนในงานปาร์ตี้ของแค ที่ ผู้ใหญ่ใจดีที่ตนเคารพ นอกจากนี้ โรสยังมีคู่รักเป็นหนุ่มหน้ามน นักบัญชีประจำร้าน นิสัยดี พูดน้อยแต่จริงใจ ชื่อ “บอย ” หนูมาลีไม่ชอบหน้า และไม่ค่อยอยากพูดด้วย
นับแต่วันนั้น หนูมาลีทำงานเป็นเด็กเสริฟในร้านของพี่โรส วันๆหนูมาลีพูดกับพี่โรสไม่กี่คำ พี่โรสเองไม่ได้พูดถึงปู่ย่า ไม่ได้พูดถึงข้อความในจดหมายที่เขียนหากันมาตลอด15ปี พี่โรสและหนูมาลียังคงไว้ซึ่งการเป็นนายจ้างและลูกจ้างเหมือนคนอื่น แต่มีบางสิ่งที่ไม่เหมือน สิ่งนั้นคือสายตาอันห่วงใย ที่โรสจะทอดมองมาที่หนูมาลีครั้งละนานๆ ความผิดปรกติอีกอย่างหนึ่งก็คือ พี่โรสนั้นจะปากไวปากจัด บ่นด่าจิกกัดทุกคนได้ตลอดวลา24 ชั่วโมง แต่สำหรับเด็กเสิร์ฟที่ชื่อหนูมาลีแล้ว ไม่ว่าหนูมาลีจะทำผิดอะไร โรสก็จะปิดปากเงียบ ทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นทุกทีไป
ที่ร้านคาราโอเกะ หนูมาลีเริ่มสนิทสนมกับการะเกด การะเกดเป็นคนที่ร้องเพลงลูกทุ่งได้ไพเราะมาก ทำให้ได้ทิปจากแขกเสมอๆ หนูมาลีจึงชวนให้การะเกดสมัครเข้าไปในรายการด้วยกัน และการะเกดก็ตกลง หรือแม้แต่ชงโค หนูมาลีก็พบว่าชงโคมีรูปร่างที่สวยงามและเต้นเก่ง ส่วนพ่อครัว “ลุงบุญมา”ก็เป็นนักดนตรีเก่า เคยอยู่ตั้งแต่แตรวงยันวงดนตรีลูกทุ่ง ทุกๆเย็นทองทาและหมวดอธิจะมาเที่ยวอยู่แล้ว ในเมื่อสิ่งที่ทุกคนชอบเหมือนกันคือดนตรีและเสียงเพลง พวกเขาจึงใช้เวที และใช้ร้านอาหารแห่งนั้นเป็นที่จัดแสดงคอนเสิรต์ย่อมๆ อย่างน้อยก็เป็นการฝึกซ้อมให้หนูมาลีและการะเกดไปในตัว ทุกๆคืนเสียงเพลงที่เต็มไปด้วยความรู้สึก จากร้านท้ายซอยคาราโอเกะ จะดังออกมาบ่งบอกชีวิตสุขทุกข์ของพวกเขา
ท่ามกลางความสนิทสนมของหนุ่มสาว หมวดอธิเกิดความรักต่อหนูมาลี ในขณะที่การะเกดแอบชอบทองทา อธิกับการะเกด จึงมักจะตั้งศาลาคนเศร้าขึ้นมาปรับทุกข์กันบ่อยๆ เพราะทองทากับหนูมาลีมีแต่จะสนิทสนมกันมากขึ้น ไม่มีอะไรแยกทั้งสองออกจากกันได้ง่ายๆ อธิกับการะเกดตกลงช่วยเหลือกัน สานต่อความรักของตน อธิพยายามหาทางให้การะเกดได้ใกล้ชิดทองทา การะเกดก็พยายามหาวิธีโรแมนติกต่างๆ ให้อธิได้แสดงออกกับหนูมาลี แต่ทุกๆครั้งมักจบลงด้วยความวุ่นวาย และความผิดหวัง และเมื่อใดที่มีเรื่อง วันนั้น บทเพลงเศร้าจากการะเกดก็จะดังออกมาจากร้าน “ท้ายซอยคาราโอเกะ”
ก่อนวันคัดเลือกรายการสี่แยกนักฝัน หนูมาลีพยายามขอให้โรสสอนตนร้องเพลง โรสไม่ยอมสอน โรสถกเถียงกับหนูมาลี โรสต้องการให้หนูมาลีกลับไปเรียนต่อคณะครุศาสตร์ที่มหาวิทยาลัยในบ้านเกิด ที่หนูมาลีได้โควต้า แต่หนูมาลีไม่ยอม ทั้งคู่ทะเลาะกัน ทำให้ทุกคนรู้ความจริงว่าพี่โรสกับหนูมาลีเป็นพ่อลูกกัน ทุกคนงุนงงว่า พี่โรสมีลูกได้ยังไง ในเมื่อพี่โรสไม่มีทีท่าเลยว่าจะชอบผู้หญิงเลย
ถึงวันสมัครเข้าประกวดรายการสี่แยกนักฝัน หนูมาลี ชวน ชงโคกับการะเกดไปด้วย เธอผ่านเข้ารอบแรก ด้วยการแสดงโชว์ ร้องเพลง และตลกหน้าเวทีพร้อมกับเพื่อน ๆ ทองทาก็มาที่สถานีด้วย แต่ ทองทาไม่ได้มาคัดเลือก เขามาพบพ่อแท้ๆ ของตนเอง “เมืองแมน” เจ้าของบริษัทผลิตรายการโทรทัศน์ระดับบริษัทมหาชนที่มีรายการในสถานี โทรทัศน์ช่องต่างๆมากที่สุด รวมทั้งรายการสี่แยกนักฝันด้วย เมืองแมนเป็นคนเจ้าชู้ เขาได้แม่ของทองทา “ช้องนาง” เป็นภรรยาคนแรก
ช้องนางที่กำลังมีอนาคตในวงการบัลเล่ต์ ยอมทิ้งฝันนักบัลเลต์ระดับโลกเพราะท้องกับเมืองแมน แต่แล้วช้องนางก็ต้องเสียใจเมื่อพบว่าเมืองแมนไม่หยุดอยู่ที่ตนเอง เมืองแมนแอบไปมีเมียน้อย เป็นสาวไฮโซจากตระกูลเก่าแก่ชื่อ “บัวบุษบง” ช้องนางจึงหย่าและหนีไปต่างประเทศ แต่บัวบุษบงก็อยู่กับเมืองแมนได้ไม่นาน เมืองแมนแอบไปคบกับนางงามระดับประเทศคนดังชื่อ “โยทะกา” เมื่อบัวบุษบงรู้เข้า บัวบุษบงก็กินยาตายทิ้งลูกสาวชื่อ “บุษบาบัณ” หรือ “เบลล่า”เอาไว้ให้แม่ของตนเลี้ยง
โยทะกาเป็นคนเรียบร้อย จิตใจดี รู้สึกผิดกับเรื่องนี้มาก จึงรับเลี้ยงเบลล่าไว้เป็นลูกสาวบุญธรรม เมืองแมนแต่งงานกับโยทะกา โยทะกากลายเป็นผู้บริหารรายการทีวีหญิงที่มีความสามารถ มีชื่อเสียง มีหน้ามีตาอยู่ในสังคม เป็นที่รู้จักของคนทั่วๆไป
ทองทามาเมืองไทยในครั้งนี้ก็เพราะโยทะกา โยทะกาและเบลล่ามีความสัมพันธ์อันดีกับทองทา เพราะเดินทางไปเยี่ยมทองทาที่อเมริกาบ่อยๆ โดยตำแหน่งแล้ว ทองทามีหน้าที่เป็นกรรมการคัดเลือกในหมวดการเต้น ของรายการ เพราะทองทาเป็นคนไทยที่มีดีกรีด้านนี้โด่งดังมาแล้วในต่างประเทศ ทองทามาถึงเมืองไทย และได้พบกับคนที่เขาเกลียดที่สุดในชีวิต นั่นคือ….เมืองแมนพ่อของเขาเอง
ในการแสดงความสามารถรอบแรกนี้ หนูมาลี ชงโค การะเกด ต้องเจอกับแก๊งค์ไฮโซที่นำโดยเบลล่า เบลล่าประกาศตนชัดเจนว่าเป็นลูกสาวเจ้าของบริษัทที่อยากจะมาลงแข่งด้วย เป็นที่รู้กันว่า เบลล่าเป็นเด็กสาวเอาแต่ใจเพราะถูกยาย คือ “คุณหญิงบุณฑริก” เลี้ยงดูอย่างตามใจ เบลล่ามีโอกาสทุกอย่าง มีครูร้องเต้นเล่นละครพร้อมสรรพ แต่เบลล่าเชื่อว่า การไปถึงดวงดาวนั้นใช้เงินอย่างเดียวก็พอ เบลล่าขี้เกียจเรียน ขี้เกียจฝึกซ้อม ชื่อเสียงของเบลล่าจึงถูกต่อต้านว่า ไม่เหมาะที่จะเป็นศิลปินเพราะนอกจากนามสกุลแล้ว เบลล่าไม่มีความสามารถอะไรเลย
แต่เบลล่าไม่แคร์ ชักจูงกลุ่มเพื่อนสาวไฮโซ อีกสองคน คือ “ยาหยี”และ “นีน่า” เข้ามาในงานและเที่ยวพูดคุยไปว่า โครงการนี้เกิดขึ้นมาเพื่อให้ตนได้คว้าชัยชนะในที่สุด ผู้สมัครคนอื่นๆ จะเป็นได้แค่ไม้ประดับ ความไฮโซชอบดูถูกคนของเบลล่านี่เอง ทำให้ปะทะกับกลุ่มของหนูมาลี ทำให้กลุ่มหนูมาลีเสียความมั่นใจไปมาก
เบลล่าเห็นว่าทองทาพี่ชายต่างมารดาที่ตนแสนรักแสนหวงนั้น ให้ความสนใจกับสาวบ้านนอกอย่างหนูมาลีเป็นพิเศษ เบลล่าไม่พอใจ เริ่มแสดงอาการต่อต้านกลั่นแกล้งหนูมาลี โชคดีที่โยทะกาได้เข้ามาห้ามและช่วยหนูมาลีไว้ เรื่องราวที่เกิดขึ้นทำให้หนูมาลีรู้ความจริงว่า ทองทาเพื่อนสนิทที่ตนรักที่สุดนั้นเป็นใคร เขาอยู่สูงจนเกินเอื้อมอย่างไร หนูมาลีไม่เสียใจเท่ากับการที่ทองทาหลอกลวงหนูมาลี ไม่ต่างอะไรจากพ่อ ทองทาพยายามอธิบาย แต่หนูมาลีไม่รับฟัง
สำหรับหนูมาลี วันนี้คือวันเลวร้ายที่สุดในชีวิต การประกวดที่ตนเคยหวังดูเหมือนจะถูกล็อคผลโหวตเอาไว้ เพื่อนรักที่สุดกลายเป็นคนหลอกลวง แม้แต่พ่อตัวแองที่หวังว่าจะเป็นกำลังใจก็กลับทำท่าไม่สนใจ ในวันนั้น คนๆเดียวที่หยิบยื่นความรักมาให้ กลับเป็นโยทะกา สาวสวยจิตใจดี ที่มีดีกรีถึงอดีตนางงามขวัญใจประชาชน โยทะกาพาหนูมาลีไปเที่ยวทะเลและให้หนูมาลีร้องเพลงให้ฟัง จนหนูมาลีคลายความเศร้าลง
ชงโคพาหนูมาลี การะเกดและพวกไปออกรับจ็อบเต้นโคโยตี้ ที่วานิชจัดการให้ และเจ้าของงานก็ไม่ใช่ใครอื่นเมืองแมนนั่นเอง เมืองแมนลวนลามหนูมาลี โชคดีที่ทองทาและอธิมาช่วยไว้ทัน โรสยื่นคำขาด ขอให้หนูมาลีและเด็กในร้านทุกคน เลิกยุ่งกับวานิช แต่ชงโคไม่เชื่อ จึงยุงยงให้เด็กในร้านเกือบทั้งหมดลาออกไป คงเหลือไว้แต่การะเกดที่ยังคงภักดีต่อโรส โรสเครียดมากขึ้น โรสเอาที่ดินของครอบครัวไปจำนอง หากไม่มีเงินไปจ่าย ร้านคาราโอเกะก็จะถูกปิด แท้จริงแล้ว ความฝันของโรสคือ ได้กลับไปหาพ่อแม่ ไปทำสวนส้มเล็กๆอยู่อย่างพอเพียงกับหนูมาลี ไม่ใช่การทำงานท่ามกลาง บุหรี่ เหล้า และผู้ชายหื่นกามในเมืองหลวง
ระหว่างนั้น มีจดหมายมาถึง หนูมาลีและการะเกดเข้ารอบแรกของการประกวด ในขณะที่ชงโคตกรอบ หนูมาลีเริ่มมีความหวังว่า ถ้าเป็นผู้ชนะในโครงการ หนูมาลีจะได้เงินรางวัลหนึ่งล้านบาท สามารถเอาไปไถ่จำนองที่ดินบ้านเกิด และทำสวนส้มกับพี่โรสได้ โยทะกาให้กำลังใจหนูมาลีให้กลับไปสู้ต่อ โยทะกาในฐานะผู้ดูแลรายการและแม่บุญธรรมของเบลล่า ให้หลักประกันแก่หนูมาลีว่าการประกวดจะเป็นไปด้วยความยุติธรรม เบลล่าและเพื่อนจะเป็นแค่ผู้เข้าประกวดเหมือนคนอื่น ไม่มีอภิสิทธิ์ใดๆ
หนูมาลีตัดสินใจกลับไปคืนดีกับทองทา ทองทาสอนการเต้นให้หนูมาลี หนูมาลีพยายามเอาใจโรส ที่กำลังเครียด โรสเริ่มคลายหงุดหงิด โรสเริ่มร้องเพลง และเริ่มสอนให้หนูมาลีร้องเพลงบ้าง ในที่สุดหนูมาลีก็ผ่านเข้ารอบสิบคนสุดท้าย ในขณะที่การะเกดตกรอบ
การะเกดเสียใจมากที่ตกรอบ คืนนั้นการะเกดดื่มหนักและถูกชงโคพาไปให้วานิช วานิชพาการะเกดที่กำลังมึนเมาทั้งยาและเหล้า ไปขายให้กับเมืองแมน การะเกดเสียตัวให้กับเมืองแมนและคิดที่จะฆ่าตัวตาย โชคดีที่โรสและหนูมาลีไปช่วยไว้ทัน
โรสได้คิดจากเรื่องที่เกิดขึ้น ลุกขึ้นปลดป้ายร้านคาราโอเกะ พอกันทีกับอาชีพแบบนี้ ถึงตนจะไม่ทำเลวด้วยตัวเอง แต่การวนเวียนกับเหล้าและผู้ชายชั่ว ย่อมพาตัวเองลงสู่ที่ต่ำ คืนฉลองปิดกิจการนั้น โรสขยายเวทีในร้านและขึ้นไปร้องเพลงโชว์พลังเสียงของตนเอง ทองทากับเพื่อนแดนเซอร์ ลุงบุญมากับเพื่อนนักดนตรีทุกคนพร้อมใจกันขึ้นแสดงโชว์
ทุกๆคนตัดสินใจเนรมิตคอนเสิร์ตให้การะเกด โรสบอกว่า ถึงเราจะไม่มีชื่อเสียงโด่งดัง แต่ดนตรีและบทเพลงเป็นของทุกคน ต่อไปนี้ไม่ต้องรอกรรมการ ไม่ต้องรอคนฟัง เราแค่ร้องออกไปเท่านั้น แคที่เข้ามาลงทุนจัดแจงจนกลายเป็นธุรกิจที่มีกำไร ออกทุนขยายร้านทำเวทีกลางแจ้ง ให้คนดูมาต่อแถวซื้อบัตร ในที่สุดหนังสือพิมพ์ นิตยสาร และสถานีโทรทัศน์เริ่มเข้ามา
ทุกๆวันเสียงโจษจันถึงการแสดงโชว์อันยอดเยี่ยมที่ “ร้านดอกไม้ท้ายซอย”ก็แผ่ขยายออกไป จากที่คิดว่าจะหมดตัวกลายเป็นว่าร้านใหม่นี้มีรายได้มากกว่าสมัยที่ทำคาราโอ เกะ โรสได้เป็นตัวของตัวเอง ได้ร้องเพลง และเริ่มมีความสัมพันธ์ที่ดีกับหนูมาลี แต่จนแล้วจนรอดหนูมาลีก็ไม่ยอมเรียกโรสว่าพ่ออยู่ดี
เมื่อร้านโด่งดัง ชื่อของหนูมาลีก็ยิ่งเป็นที่รู้จักมากขึ้นไป หนูมาลีเริ่มเด่นดังเกินหน้าผู้เข้าประกวดรอบสุดท้าย อีก9 คนที่เหลือ ที่มีเบลล่าอยู่ด้วย สร้างความไม่พอใจทำให้เบลล่าต้องมาอาละวาดอยู่เนืองๆ
วันหนึ่ง โยทะกาแวะมาแสดงความยินดีที่ร้าน โยทะกาเกิดอาการช็อคเมื่อได้เห็นโรสบนเวที โรสเองก็ตกใจที่ได้เห็นโยทะกา และเมื่อโยทะการู้ว่าโรสคือพ่อของหนูมาลี โยทะกาก็กลับบ้านร้องไห้อย่างหนัก มีแต่โรสเท่านั้นที่รู้ว่าเพราะอะไร โยะทะกาคือแม่ของหนูมาลีนั่นเอง
ทุกวันทุกคืน โยทะกามีฝันร้ายที่เกี่ยวกับการทิ้งเด็กไว้ที่โรงพยาบาล เธอติดยานอนหลับ และเคยคิดฆ่าตัวตายมาแล้วโดยไม่มีใครรู้ เธอเคยไปตามหาเด็ก แต่ล้มเหลว เคยตามหาเรืองยศ แต่เรืองยศขายที่ดินแล้วย้ายไปอยู่ในหมู่บ้านที่ไกลออกไป เธอไม่เคยรู้เลยว่า เรืองยศได้เก็บเด็กคนนั้นมาเลี้ยงดูอย่างดี
ในระหว่างที่โรสและโยทะกาปกปิดเรื่องของตนเอาไว้ เบลล่าใช้วิชามารพยายามขุดคุ้ยประวัติของหนูมาลีหวังว่าจะเจอเรื่องสกปรก แล้วเอามาแฉ การขุดคุ้ยครั้งนี้ทำให้ทุกคนได้รู้ความจริงระหว่างโรสและโยทะกา ในคืนวันประกวดรอบสุดท้ายที่หนูมาลีต้องขึ้นแสดง !
หนูมาลีหัวใจสลาย หนูมาลีมีความเชื่อว่าแม่คงลำบาก ป่วยหรือตายไปแล้ว หนูมาลีไม่สนใจแม่ เพราะคิดว่าแม่คงมีเหตุผลบางอย่างที่ทอดทิ้งตนมาเกือบยี่สิบปี แต่นี่ไม่ใช่ แม่ของตนเป็นคนสวยที่ประสบความสำเร็จและยังแอบไปเอาเด็กปีศาจลูกสาวคนอื่น อย่างเบลล่ามาเลี้ยงดูอุ้มชู แม่มีชีวิตเสวยสุขอยู่ได้อย่างไรในขณะที่ โรสและตนลำบากแทบไม่มีกิน
คืนนั้นหนูมาลีร้องเพลงด้วยน้ำตา ในที่สุดก็พ่ายแพ้ หนูมาลีเสียใจที่โยทะกาทอดทิ้งตนเอง เพื่อความทะเยอทยานส่วนตัว จึงหนีหน้าทุกคนออกไปตั้งใจจะเดินทางกลับต่างจังหวัด ระหว่างนั้น เมืองแมนผ่านมาพบเข้า เมืองแมนชอบหนูมาลีมานาน เมืองแมนเกิดความคิดวิปริตที่จะได้ทั้งแม่และลูกเป็นเมีย จึงคิดจะข่มขืนหนูมาลี แต่ยังไม่ทันได้ทำ โรสก็โผล่มาแล้วต่อสู้กับเมืองแมน โรสถูกแทงได้รับบาดเจ็บสาหัส เมืองแมนแย่งมีดได้กำลังจะแทงโรส แต่โยทะกาโผล่มาแล้วยิงเมืองแมนตาย !
คืนนั้นโรสต้องอยู่ในห้องไอซียู อาการเป็นตายเท่ากัน หนูมาลีหยิบจดหมายฉบับหนึ่งออกมา หลายปีก่อน โรสไม่รู้จะเขียนอะไรหาลูกอันเป็นที่รัก เขาจึงเขียนเนื้อเพลงเพลงหนึ่งไว้แทนความในใจของเขา
เนื้อเพลงบทนั้น ไม่ได้ส่งมาจากคนที่เป็นชาย ไม่ได้ส่งจากคนที่เป็นหญิง แค่ส่งมาจากมนุษย์คนหนึ่ง ที่มีความรักลูกไม่แพ้ชายหญิงคนใด
โรสเคยบอกใครๆว่า สักวันหนึ่ง เมื่อเขาได้ที่ดินคืน เขาจะนอนร้องเพลงๆนี้กับลูกรักของเขากลางสวนส้ม
ฝากรักเอาไว้ ฝากไปในแสงดวงดาว ที่ส่องประกายวับวาว-วาว อยู่บนฟากฟ้า
ให้แสงสุกใส ได้เป็นเสมือนดวงตา คอยส่องมองเธอด้วยแววตาแห่งความภักดี
เก็บฟ้ามาสาน ถักทอด้วยรักละมุนคอยห่มให้เธอได้อบอุ่น
ก่อนนอนคืนนี้ ให้เสียงใบไม้ ขับกล่อมเป็นเสียงดนตรี
คอยกล่อมให้เธอฝันดี ดี ให้เธอเคลิ้มไป
เป็นวิมานอยู่บนดิน ให้เธอได้พักพิงพิง และนอนหลับไหล
เก็บดาวเก็บเดือนมาร้อย มาลัย เก็บหยาดน้ำค้างกลางไพร มาคล้องใจเราไว้รวมกัน
ก่อนฟ้าจะสาง ก่อนจันทร์จะร้างแรมไกล ยังอยู่กับเธอข้างเคียงกาย
อยู่ในความฝัน ฝากเสียงกระซิบ ฝากไปในสายลมผ่าน
ข้ามขอบราตรีที่ยาวนาน ให้เธอฝันดี ให้เธอได้อบ อุ่น และนอนฝันดี
ให้เธอได้อบ อุ่น…อยู่ในวิมาน
หนูมาลีน้ำตารินไหล เดินไปหาร่างที่อยู่ตรงหน้า หนูมาลีโง่ไปเองที่มัวแต่แคร์สายตาคนอื่นจนไม่กล้าเรียกโรสว่าพ่อ คนที่อยู่ตรงหน้า ไม่ว่าจะเป็นชายหรือเป็นหญิง แต่เขาก็เป็นทั้งพ่อและแม่ เป็นบ้าน เป็นวิมาน เป็นทุกสิ่งสำหรับเธอ หนูมาลีกระซิบเรียกพ่อ หนูมาลีบอกโรส “พ่อจ๋า อย่าทิ้งลูกไป เราจะกลับบ้านด้วยกันนะพ่อ”
น้ำตาของโรสค่อยๆรินไหล… ใบหน้าโรสในนาทีสุดท้ายเปื้อนรอยยิ้ม ! ฟ้าสางแล้ว ราตรียาวนานผ่านพ้น ในที่สุดโรสก็ไม่ฟื้นขึ้นมา โรส กุหลาบที่งดงามทำหน้าที่ของตนเสร็จสิ้น ! ในขณะที่ชีวิตของดอกไม้หลายดอกยังดำเนินต่อไป
บุษบาบัณหรือเบลล่า …ออกเทปสมใจ เล่นละครสมใจ แต่ไม่มีใครจดจำ เบลล่าแต่งงานไปกับไฮโซหนุ่มจอมเจ้าชู้ ทุกๆวันทะเลาะตบตีกับสามี เบลล่าหันไปเที่ยว ดื่ม ใช้ชีวิตเสเพลผลาญเงินอย่างไร้จุดหมาย คุณหญิงบุณฑริกเจ็บปวดใจที่เบลล่ามีชีวิตตกต่ำลง ไม่ต่างจากผู้เป็นแม่ ….เบลล่าคือดอกไม้ที่ไร้คุณค่า เพียงแค่รอเวลาเหี่ยวเฉาลงสู่พื้นดิน
ชงโค….ติดเหล้าติดยา ทำงานอยู่ในสถานบันเทิงสำหรับผู้ชาย และขายบริการในบางครั้ง ชงโคไม่ได้พบรักแท้ สามีรวยเหมือนดังที่หวังไว้ …. ดอกไม้ดอกหนึ่งกำลังถูกกระแสลมพัดหายไปในความมืด
โยทะกา….ใช้เวลาหลายปี ต่อสู้คดีความฆ่าสามี แต่หล่อนนอนหลับฝันดี ไม่ฝันร้ายเรื่องลูกสาวที่ทิ้งไว้อีก โยทะกาบอกหนูมาลีในวันหนึ่ง “หากวัดกันที่คุณค่าของความเป็นคน ความเป็นผู้หญิง โรสมีมากกว่าตน เพราะโรสมีความเป็นแม่ที่โยทะกาไม่มี” …..ดอกไม้เหลิงลมจนบอบช้ำ ถึงเวลานิ่งสงบ
อธิไม่สนใจอดีตของการะเกด ในระหว่างที่เขาพยายามจีบหนูมาลี ความผูกพันเห็นอกเห็นใจก่อร่างสร้างตัวขึ้นมากับการะเกดโดยที่เขาไม่รู้ตัว ในที่สุดอธิขอการะเกดแต่งงาน การะเกดขอผัดผ่อน ปีหน้าเธอจะลงประกวดในรายการทีวีอีกครั้ง …. ดอกไม้ชื่อการะเกด ภายนอกอ่อนหวานอ่อนโยน ภายในเข้มแข็งสมเป็นดอกไม้ที่อยู่เหนือลม
หนูมาลี…ดอกไม้แสนบริสุทธิ์ ยังคงสวยงามเข้มแข็งอยู่ที่เดิม ไม่เคยถูกสายลมพัดพาหายไปไหน จิตใจที่มั่นคงในความดีไม่ยอมแพ้แก่โชคชะตาส่งผลในวันนี้ หนูมาลีเลิกคิดที่จะประกวด หล่อนเข้าใจแล้ว บทเพลงและดนตรี เป็นสมบัติของทุกคนโดยไม่จำเป็นต้องเป็นศิลปิน หนูมาลีกลับไปเรียนมหาวิทยาลัยต่อจนจบ ระหว่างนั้นเธอสร้างวิมานดินกับ ปู่ ย่า ในไร่ส้มอย่างสงบสุข
หลังจากเรียนจบ หนูมาลีแต่งงานกับทองทา แล้วเดินทางไปรอบโลก ทองทาทำงาน หนูมาลีเรียนร้องเพลงเพิ่มเติม หนูมาลียังคงร้องเพลงในห้องน้ำ ทุกวัน ทุกที่ที่เธอไป เสียงเพลงยังคงสดใสก้องกังวานด้วยความสุข เธอเพียงแค่หลับตา ผู้คนเรือนแสนก็อยู่รอบตัว โดยไม่จำเป็นจะต้องมีอยู่จริง
หนูมาลีคิดถึงพ่อทุกลมหายใจ แม้พ่อจะตายไปแล้ว แต่ความดีงาม นิสัยของพ่อเติบโตในตัวของหนูมาลีอย่างชัดเจน หนูมาลีรักเสียงเพลง ชอบช่วยเหลือคน และทำความฝันให้เป็นจริง โดยไม่แคร์สายตาของใครเหมือนโรสไม่มีผิด
สำหรับสาวนักฝันอย่างเธอ … แค่มีความฝัน ความสุขก็อยู่ตรงนั้นด้วยตัวเองอยู่แล้ว… จบบริบูรณ์
เครดิต www.pantip.com