ที่มา: ไทยรัฐออนไลน์

เชื้อเพลิงฟอสซิลเป็นหนึ่งในตัวการที่ทำให้อุณหภูมิของโลกสูงขึ้น สภาวะโลกร้อนส่งผลกระทบไปทั่วและทำให้การใช้ชีวิตของมนุษย์เปลี่ยนแปลงไป เมื่ออุณหภูมิโลกสูงขึ้น ทำให้เกิดพายุรุนแรง ภัยแล้งและสภาพอากาศที่ไม่เป็นไปตามฤดูกาล มั่วซั่วเดี๋ยวร้อนเดี๋ยวฝนเดี๋ยวหนาวจนจับต้นชนปลายไม่ถูก

01

เขตร้อนกับสภาพอากาศที่เปลี่ยนไปกลายเป็นผลกระทบอย่างรุนแรงต่อเนื่องโดยไม่มีทีท่าว่าจะจบสิ้นลงตราบใดที่มนุษย์ยังคงใช้เชื้อเพลิงกันอย่างบ้าคลั่งแบบนี้ น้ำมันเชื้อเพลิงที่มาจากซากฟอสซิล เมื่อเผาผลาญจนกลายเป็นก๊าซพิษก่อให้เกิดสภาวะเรือนกระจก เป็นการเร่งปฏิกิริยาในการทำลายล้างโลกแบบทางอ้อม หากอุณหภูมิสูงขึ้นอีก 3 องศาเซลเซียส เราจะต้องเผชิญพายุที่รุนแรงมากกว่าที่เคย

เมื่ออุณหภูมิสูงขึ้น 3 องศา

  • เกิดการอพยพของประชากรโลกครั้งยิ่งใหญ่ (Mass Migration) และมีการแก่งแย่งอาหารกัน
  • น้ำจืดลดลง ทำให้เกิดสงครามแย่งน้ำ
  • เกิดไฟป่า ทำลายป่าไม้ของโลก พืชสูญพันธุ์ 10%
  • น้ำแข็งขั้วโลกทั้ง 2 ละลายอย่างมหาศาล ระดับน้ำทะเลสูงขึ้น เมืองต่างๆ จมอยู่ใต้น้ำ
  • อากาศเกิดการผันผวนปรวนแปรอย่างสุดขั้ว ทำการเกษตรไม่ได้ผล เกิดปัญหาการขาดแคลนอาหารอย่างรุนแรง

อุณหภูมิสูงขึ้น 4 องศา

  • น้ำแข็งขั้วโลกเหนือ และใต้ ละลายหมด ห่วงโซ่อาหารของโลกสลายหมดถึงขั้นวิกฤติ การเกษตรถึงขั้นวิกฤติ
  • อุณหภูมิสูงขึ้นถึง 45 องศาเซลเซียส แหล่งน้ำแห้งเหือด
  • แผ่นดินหลายส่วนของโลกเกิดการยุบตัว
  • แหล่งอารยธรรมของโลกจะเริ่มถูกทำลาย กลับไปสู่ยุคเมื่อหลายล้านปีก่อนอีกครั้ง

02

รถยนต์พลังงานไฟฟ้า เริ่มได้รับความนิยมมากยิ่งขึ้นทุกขณะ จากคุณประโยชน์ที่เหนือกว่ารถยนต์ทั่วไปที่ใช้เครื่องยนต์และเชื้อเพลิงในการขับเคลื่อน ซึ่งมีค่าใช้จ่ายด้านพลังงานและการปล่อยมลภาวะสูงกว่า เมื่อเชื้อเพลิงฟอสซิลเป็นตัวการที่เร่งให้โลกใบนี้แย่ลง สภาวะของมลพิษที่ปกคลุมเมืองใหญ่ทั่วโลกบวกอุณหภูมิที่สูงขึ้นเรื่อยๆ

ค่ายรถของเยอรมัน เจ้าของตราสัญลักษณ์ใบพัดสีฟ้า-ขาว BMW Group ได้ทำการค้นคว้าวิจัยรถยนต์พลังงานไฟฟ้า ควบคู่ไปกับการพัฒนาปรับปรุงพลังงานจากมอเตอร์ ระบบชาร์จไฟ วัสดุน้ำหนักเบา และระบบ ActiveHybrid จนได้รถยนต์พลังงานสะอาดรุ่นใหม่ล่าสุด ที่เพิ่งจะเปิดตัวไปเมื่อช่วงปลายปี ค.ศ. 2013

โดยวางรากฐานของรถยนต์ในตระกูลนี้ ด้วยการใช้อักษร i นำหน้ารุ่น ส่งผลให้ค่ายรถจากแดนไส้กรอกเจ้านี้ มีผลิตภัณฑ์ยานยนต์ที่ก้าวไกล และครอบคลุมการใช้งานหลากหลายรูปแบบ หนึ่งในรถรุ่นดังกล่าว คือ BMW i3 e-DRIVE ยานยนต์คนเมืองยุคใหม่แห่งอนาคตที่ไฮเทคสุดๆ ในปัจจุบัน

รถพลังงานไฟฟ้าจาก BMW กำลังเข้ามามีส่วนช่วยทำให้โลกเย็นลง แม้เพียงน้อยนิดแต่ก็ดีกว่าไม่คิดทำอะไรเลย รถอย่าง BMW i3 กลายเป็นฮีโร่ตัวจริงในการประหยัดพลังงานและลดการปล่อย Co2 ซึ่งเป็นก๊าซเรือนกระจก i3 ลืมตาขึ้นมาดูโลกในปี ค.ศ. 2013 แต่ก่อนหน้านี้ทีมวิศวกรของ BMW ทุ่มเทพัฒนามานานพอสมควร จนผู้บริหารของ BMW Group แน่ใจว่าจะสามารถผลิตออกมาในแบบที่ผู้คนส่วนใหญ่คาดหวัง BMW i3

03

ไม่ใช่รถไฟฟ้าแบบที่ใช้ในสนามกอล์ฟ มันคือกลยานยนต์พลังงานไฟฟ้าเกือบเต็มรูปแบบที่ประหยัดสุดๆ คันหนึ่งของวงการและมีความสามารถมากเกินพอในการวิ่งระยะไกลรวมถึงการใช้งานอย่างต่อเนื่องทั้งวันทั้งคืนไม่ต้องมาคอยกังวลว่าแบตเตอรี่จะหมดกลางทาง แม้จะไม่ใช่รถสำหรับพวกขาแรง BMW แต่การที่มันโผล่ออกมาได้จังหวะและเวลาที่โลกใบนี้กำลังเน่าหมายถึงการมีส่วนช่วยทำให้การใช้พลังงานและการปล่อยของเสียลดต่ำลง

ทรงแบบกล่องและไฟหน้าแนวน่ารักทำให้ i3 ดูอ่อนโยนเหมาะกับการเป็นรถไฟฟ้าอนุรักษ์พลังงาน โครงสร้างน้ำหนักเบาผลิตจากคาร์บอนไฟเบอร์มีส่วนทำให้สมรรถนะในการขับใช้งานขึ้นถึงขีดสุด น้ำหนักของแบตเตอรี่ในรถไฟฟ้าคือสิ่งที่เข้ามาบั่นทอนประสิทธิภาพของรถยนต์พลังงานไฟฟ้าทุกคัน วิศวกรของ BMW พยายามลดทอนน้ำหนักส่วนเกินของ i3 ด้วยการคัดเลือกวัสดุน้ำหนักเบามาประกอบขึ้นเป็นแชสซีและเปลือกตัวถัง

โดยยังคงคำนึงถึงความแข็งแกร่งในการใช้งาน รองรับและปกป้องผู้โดยสารด้วยระบบความปลอดภัยขั้นสูง โครงสร้างหลักของ i3 ในส่วนของแชสซีและโครงสร้างหลักของห้องโดยสาร ผลิตด้วยอะลูมิเนียมทรงกล่อง เป็นโครงสร้างที่เรียบง่ายและไม่มีความสลับซับซ้อน สำหรับการลดระยะเวลาการประกอบในขั้นตอนของสายการผลิต แชสซีของ i3 ทนทานต่อแรงบิด รวมถึงกระจายแรงหากเกิดอุบัติเหตุ

05

ในส่วนของห้องโดยสาร วิศวกรของ BMW นำวัสดุที่มีความก้าวไกลด้านเทคโนโลยีวัสดุใหม่ของรถยนต์ มันคือ CFRP หรือ Carbon Fibre-Reinforced Plastic ที่ใช้ทำเปลือกตัวถังของรถแข่ง F1 มีน้ำหนักเบาแต่มีความแข็งแรงสูง การนำมาปรับใช้กับรถแบบ 2+2 ของ BMW i3 เนื่องจากคุณสมบัติของ Carbon Fibre-Reinforced Plastic สามารถรับและกระจายแรงไม่แตกต่างจากโครงสร้างที่ใช้โลหะ

ในขั้นตอนของการวิจัยและพัฒนาโครงสร้างอย่างเข้มข้น ทำให้รถ i3 มีน้ำหนักรวมที่ 1390 กิโลกรัม ซึ่งถือว่าเบามากในกลุ่มรถยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า แชสซีอัลลอยออกแบบให้ท่อนส่วนกลางลำตัวเป็นรูปอุโมงค์ เพื่อการวางแบตเตอรี่ ตำแหน่งของการวางยังผ่านการคำนวณค่าเพื่อตัวเลขในการกระจายน้ำหนักที่ดี ซึ่งจะส่งผลไปถึงการขับขี่ควบคุม นอกจากนั้น จุดศูนย์ถ่วงและฐานล้อรวมถึงระดับความสูงของตัวรถ ยังผ่านการทดสอบเพื่อลดค่าศูนย์ถ่วงลงให้ต่ำมากที่สุด ตัวเลขการกระจายน้ำหนักหน้า-หลังที่ 50:50 ทำให้เจ้า i3 มีความเสถียรในทุกย่านความเร็ว

06

07

ห้องโดยสารออกแนวห้องนั่งเล่นที่ตกแต่งด้วยเฟอร์นิเจอร์ล้ำๆ ประตูหน้าบานโตทำให้สัดส่วนของประตูบานหลังเล็กจนแปลกตา กระจกลดระดับความสูงในส่วนของเบาะผู้โดยสารตอนหลังเพื่อเพิ่มทัศนวิสัยมุมมอง ไม้โทนสีอ่อน จอภาพที่คุณคุ้นเคยและตำแหน่งของคันเกียร์ที่แปลกประหลาดราวกับยานสตาร์วอร์ส ทำให้ห้องโดยสารของ BMW i3 แตกต่างจากพี่น้องของมันอย่างสิ้นเชิง

การออกแบบโดยย้ายคันเกียร์ไปอยู่ที่ก้านพวงมาลัยด้านขวาทำให้พื้นที่ส่วนกลางของซุ้มเกียร์หายไป กลายเป็นพื้นที่ว่างๆ ทำให้คนขับสามารถขยับตัวผ่านเบาะตอนหน้าได้อย่างที่ BMW คันอื่นทำไม่ได้ เกิดประโยชน์สูงสุดเมื่อคุณต้องจอดชิดกำแพงมากเป็นพิเศษเมื่อขับแล้วต้องจอดรถแถบเยาวราช ภายในของ BMW i3 ยังให้อารมณ์ยานยนต์ต้นแบบ Concept Car ด้วยจอภาพและงานตกแต่งที่เชื่อมกับแนวคิดของดีไซเนอร์ชั้นนำ

03

09

อาจดูมีอุปกรณ์ไม่มากเหมือนรถไฟฟ้าจากแบรนด์อื่น แต่ความสลับซับซ้อนของระบบที่ถูกจัดวางปรุงแต่งมาเป็นอย่างดีทำให้การใช้งานง่ายดายด้วยการสร้างความคุ้นเคยในเวลาเพียงน้อยนิด เส้นโค้งและทึบสลับโปร่งของแดชบอรด์โชว์ให้เห็นแก่นแท้ของความตั้งใจและความสามารถของทีมออกแบบได้ดีที่สุด เส้นตะเข็บบนผ้า หนังและไม้ เส้นใยสังเคราะห์ บวกพลาสติกรีไซเคิล การออกแบบทำออกมาได้อย่างสวยงามลงตัว แผงประตู พนักเท้าแขน ปุ่มและสวิตช์กับพวงมาลัยทรงแปลกตาพร้อมจอภาพราวกับกำลังควบคุมยานเวลาไทม์แมชชีน

จอมัลติฟังก์ชั่นในส่วนคอนโซลกลาง ใช้ในการแสดงผลระบบ i-DRIVE ผ่านแป้นควบคุมอันเป็นเอกลักษณ์ของ BMW ยุคใหม่ พวงมาลัยสามก้านหุ้มหนังแท้ ส่วนเบาะโดยสารและแผงประตูรวมถึงงานตัดเย็บตกแต่งมีให้เลือกทั้งแบบหุ้มหนังหรือผ้าเนื้อหนา คอนโซลยังมีงานไม้คาดในตำแหน่งของผู้โดยสารด้านข้างคนขับ คอนโซลผลิตจากโฟมขึ้นรูปหุ้มด้วยไวนิล วิศวกร และนักออกแบบของ BMW ทำการติดตั้งก้านสวิตช์ควบคุมการขับขี่

13

14

18

โดยสามารถปรับระบบการขับเคลื่อนผ่านก้านสวิตช์ ที่อยู่บริเวณด้านขวาของคอพวงมาลัย คล้ายกับการทำงานของก้านเกียร์อัตโนมัติ โดยมีตำแหน่งขับเคลื่อน D/P/N/R เรืองแสงสีแดงและสีเขียวในตำแหน่งที่กำลังถูกใช้งาน เพื่อทำให้ง่ายต่อการมอง รวมถึงความเรียบร้อยสวยงามรายละเอียดของชิ้นงานต่างๆ

มีความประณีตสูง ตามสไตล์ของยานยนต์จากแดนไส้กรอกเหมือนเดิม มาตรวัดตรงหน้าคนขับใช้จอ LCD ขนาด 6.5 นิ้ว ที่ให้ความสว่างและความคมชัดสูง ส่วนจอของระบบ i-DRIVE ซึ่งควบคุมอุปกรณ์และระบบต่างๆ วางตำแหน่งไว้ที่กลางคอนโซลด้านบน เป็นจอ LCD ขนาด 8.8 นิ้ว ที่ออกแบบใหม่หมด แต่ยังคงคล้ายกับจอในรถรุ่น 3-Series f30 กึ่งกลางของเบาะคู่หน้า เป็นที่อยู่ของปุ่มสวิตช์ ควบคุมระบบ i-DRIVE รวมถึงสวิตช์ เลือกโหมดของการขับเคลื่อน แผงประตูและวัสดุที่ใช้ห่อหุ้มหลังคาเป็นผ้าสีเทา

19

20

BMW i3 e-DRIVE ขับเคลื่อนด้วยพลังงานในรูปกระแสไฟจากแบตเตอรี่ ที่ส่งไปป้อนมอเตอร์ไฟฟ้า โดยทำการวางมอเตอร์ขับเคลื่อนไว้ที่ด้านหลัง สำหรับล้อขับเคลื่อนคู่หลัง เครื่องยนต์ 2 สูบ รับหน้าที่ปั่นกระแสไฟฟ้าไปเก็บในแบตเตอรี่แทนที่จะใช้สำหรับเสริมแรงขับเคลื่อน เมื่อเครื่องยนต์ตัวจิ๋วรับหน้าที่แค่ปั่นไฟเข้าแบตฯ มันจึงถูกใช้งานเท่าที่จำเป็น ทำให้การใช้เครื่องยนต์ปั่นไฟมีความประหยัดมากกว่าใช้เครื่องยนต์มาขับเคลื่อนตัวรถ

ในส่วนของมอเตอร์ไฟฟ้า มอเตอร์กำลังสูงของ i3 สามารถสร้างกำลังได้สูงสุดถึง 125 กิโลวัตต์ หรือ 170 แรงม้า กับแรงบิดที่เพียงพอต่อการขับขี่ ทั้งในและนอกเมืองที่ 250 นิวตันเมตร แรงบิดสูงสุดทะลักออกมาให้ใช้ตั้งแต่การออกตัว ทำให้ i3 มีความกระฉับกระเฉง คล่องแคล่วว่องไวเมื่อขับในเมืองไม่แตกต่างไปจากรถยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์ พลังงานจากแบตเตอรี่ในรูปของกระแสไฟฟ้าแรงดันสูง มีความเหนือชั้นในด้านของแรงบิด

จากการที่ได้ลองขับสั้นๆ ความรู้สึกถึงกำลังในการขับเคลื่อนตัวรถด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าไม่แตกต่างไปจากรถเครื่องยนต์ 2,000 ซีซี แม้แต่น้อย แต่สิ่งที่ได้รับกลับมาก็คือห้องโดยสารที่เงียบงันขณะทะยานไปตามย่านธุรกิจใจกลางเมือง เป็นความเงียบที่ปราศจากแรงสั่นสะเทือนของเครื่องยนต์อย่างสิ้นเชิง

17

21

แรงบิดสูงสุดของรถยนต์แบบ Hybrid ยังคงต้องอิงกับแรงบิดสูงสุดของเครื่องยนต์เป็นหลัก แตกต่างจากรถยนต์ที่ใช้พลังงานไฟฟ้าล้วนๆ อย่าง BMW i3 ที่แรงบิดสูงสุดมีให้ใช้ตั้งแต่การเริ่มต้นวิ่งออกตัวจากจุดหยุดนิ่ง อัตราเร่งจาก 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ทำได้ 7.3 วินาที เร็วจิ้ดจนเหลือเชื่อ ส่วนความเร็วปลายไหลไปได้ถึง 150 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ความเร็วสูงสุดของมันถูกล็อกไว้แค่ 150 กิโลเมตรต่อชั่วโมง

เนื่องจากเป็นยานยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า ไม่จำเป็นต้องเร็วระดับ 200 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ซึ่งจะทำให้เกิดการสิ้นเปลืองกระแสไฟจากแบตเตอรี่โดยใช่เหตุ แบตเตอรี่ใน BMW i3 e-DRIVE เป็นแบบลิเทียม-ไอออน 8 โมดูล 96 เซลล์ (แต่ละโมดูลมี 12 เซลล์) สามารถปล่อยแรงเคลื่อนไฟฟ้าในระดับ 360 โวลต์ จ่ายพลังงานไฟได้ 22 กิโลวัตต์ แบตเตอรี่ทั้งชุดเมื่อทำงานจะมีความร้อนแพร่ออกมา และทำให้อุณหภูมิของห้องเก็บแบตฯ สูงเกินความจำเป็น วิศวกรของ BMW จึงทำการติดตั้งอุปกรณ์หล่อเย็นเพื่อลดอุณหภูมิของแบตฯ ขณะทำงาน

โดยอุณหภูมิแบตเตอรี่แบบลิเทียม-ไอออน จะสามารถทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ ที่อุณหภูมิประมาณ 20 องศาเซลเซียส แบตฯ แบบลิเทียม-ไอออนของ i3 มีระยะเวลาในการชาร์จกระแสไฟ 6 ชั่วโมง ในการเสียบชาร์จจากไฟบ้าน หากต้องการชาร์จเร็วในสถานีชาร์จไฟ (ที่มีอยู่ทั่วไปในยุโรป ตามเมืองใหญ่ๆ) จะใช้เวลาในการชาร์จประมาณ 2.5 ชั่วโมง ส่วนอายุการใช้งานของแบตเตอรี่ลิเทียม-ไอออน มีอายุเฉลี่ย 8 ปี หรือ 100,000 กิโลเมตร ซึ่งเป็นระยะเวลาในการรับประกันชุดแบตฯ ตามมาตรฐานของค่าย BMW Group

23

26

เครื่องยนต์ขนาดเล็กของ BMW i3 จะทำงานขึ้น เมื่อระบบฯ ตรวจพบว่า แบตฯ เริ่มมีกำลังไฟเหลือน้อย หรือผู้ขับกดสั่งงานให้ชาร์จไฟเข้าแบตฯ ระบบ E-Drive จะสั่งงานไปยังเครื่องยนต์ให้ติดตัวเองแบบอัตโนมัติทันที เครื่องยนต์สุดแหวกแนวของ BMW i3 เป็นเครื่องยนต์สองสูบตัวเล็กราวกับเครื่องรถตัดหญ้า มีปริมาตรความจุ 647 ซีซี มันเล็กพอๆ กับเครื่องยนต์ของมอเตอร์ไซค์ เป็นเครื่องแบบ 2 สูบ แถวเรียง เชื้อเพลิงเบนซิน สร้างเรี่ยวแรงได้ 34 แรงม้า

สำหรับการรับหน้าที่ปั่นกระแสไฟฟ้าไปยังแบตเตอรี่ แรงบิดสูงสุดของเจ้าจิ๋ว 2 กระบอกสูบตัวนี้ อยู่ที่ 55 นิวตันเมตร ที่ 4,300 รอบต่อนาที ถังเชื้อเพลิงของ BMW i3 มีปริมาตรความจุเพียงแค่ 9 ลิตร สำหรับโหมดการขับเคลื่อนแบบประหยัด BMW 3 e-DRIVE ไปได้ไกลถึง 340 กิโลเมตร โดยที่เครื่องยนต์จะติดตัวเองในช่วงท้ายๆ ก่อนถึงจุดหมายปลายทาง ขึ้นอยู่กับการใช้คันเร่งของผู้ขับขี่เป็นหลัก เพื่อรองรับระยะทางการวิ่งทางไกลแบบจิบเชื้อเพลิงในช่วงท้ายๆ สำหรับการปั่นไฟไปเก็บยังแบตเตอรี่

โดยมีอัตราสิ้นเปลืองแค่ 0.6 ลิตรต่อระยะทาง 100 กิโลเมตร หรือ 166.67 กิโลเมตรต่อลิตร!!! เครื่องยนต์ขนาด 2 กระบอกสูบตัวนี้ ยังปล่อย CO2 เพียงแค่ 13 กรัม ต่อระยะทาง 1 กิโลเมตรเมื่อมันทำงาน ส่วนการวิ่งด้วยมอเตอร์เพียวๆ ค่ามลพิษของ BMW i3 จะเท่ากับศูนย์

29

ความสูง 1,578 มิลลิเมตร วัดจากพื้นถึงหลังคาทำให้ตำแหน่งนั่งขับสูงโด่งโจ้งราวเอมพีวี พวงมาลัยคงเส้นคงวา ทำงานด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าคอยแปรผันน้ำหนักไปตามความเร็วและให้ความรู้สึกถึงความเป็นรถ BMW แบตเตอรี่ที่อยู่กึ่งกลางระหว่างเพลาหน้ากับเพลาหลังโดยวางไว้บนพื้นทำให้จุดศูนย์ถ่วงของเจ้ากล่องไฟฟ้าคันนี้มีตัวเลขที่ดี ช่วงล่างแข็งสไตล์ BMW ต้องวิ่งบนทางเรียบๆ ถึงจะรับรู้ถึงประสิทธิภาพของโช้คและสปริง แรงสั่นสะเทือนจะปรากฏขึ้นบ้างเมื่อวิ่งผ่านผิวถนนที่ไม่เรียบแต่ไม่ได้มากเหมือนรถสปอร์ต

ความสมดุลของกำลังและระบบรองรับทำให้ขับได้สนุก เร่งความเร็วเมื่อเจอทางโล่งได้อย่างมาดมั่นไม่แตกต่างไปจากรถเก๋งเครื่องโตที่กินเชื้อเพลิง แถมยังไร้มลพิษเมื่อวิ่งอยู่ในโหมดประหยัดโดยไม่ติดเครื่องยนต์ปั่นไฟ ไดนามิกออกมาในแบบกลางๆ ผสมปนเประหว่าง BMW Series 2 Active Tourer แต่เป็น Active Tourer ที่มีราคาแพงขึ้นมาอีกหนึ่งเท่าตัวจากระบบขับเคลื่อนที่แปลกแยกของมัน

30

มอเตอร์ไฟฟ้าต่อเชื่อมกับเฟืองท้าย ส่วนเครื่องยนต์มอเตอร์ไซค์ 2 สูบ ปริมาตร 674 ซีซี ติดตั้งอยู่ข้างๆ มอเตอร์ ช่วยยืดระยะทางการวิ่งทางไกลแบบหายห่วง ไม่ต้องกังวลว่าจะกินข้าวลิงเพราะแบตฯ หมดกลางทาง สำหรับรุ่นไฟฟ้าเต็มรูปแบบที่ต้องเสียบปลั๊กชาร์จไฟทิ้งไว้ข้ามคืนสามารถทำระยะทางได้ด้วยแบตเตอรี่เพียวๆ 125 ไมล์หรือ 201 กิโลเมตร (ที่ย่านความเร็วต่ำ) พอสำหรับการขับในเมืองทั้งวันโดยเฉพาะเมืองที่มีสภาพการจราจรหนาแน่นอย่างกรุงเทพมหานคร แบตเตอรี่ Lithium -ion ขนาด 32 กิโลวัตต์พร้อมระบบระบายความร้อนด้วยน้ำเพื่อลดอุณหภูมิของแบตฯ

ขณะใช้งาน น้ำหนักรวมของ BMW i3 อยู่ที่ 1.2 ตัน ไม่สร้างภารกรรมให้กับมอเตอร์มากนัก สำหรับตัวเลขอัตราสิ้นเปลือง 166 กิโลเมตรต่อลิตร (ที่ความเร็วต่ำ) เกิดขึ้นจากการออกแบบระบบชาร์จไฟเสริมทั้งการยกคันเร่งและการใช้เบรกก็จะกลายเป็นการชาร์จกระแสไฟเข้าแบตฯ แบบอัตโนมัติ ขับในเมืองหรือออกทางไกล เมื่อยกคันเร่งจะเกิดอาการหน่วงคล้ายรถเบรกด้วยตัวของมันเอง การหน่วงเมื่อยกคันเร่งที่มากกว่ารถ Hybrid ทำให้วิศวกรของ BMW ต้องทำให้ไฟเบรกติดทุกครั้งที่ผู้ขับทำการยกคันเร่งเพื่อความปลอดภัย

ส่วนระบบเบรกแบบสะสมพลังงาน Brake Energy Re-generation เป็นการนำเอาพลังงานจลน์ที่เกิดขึ้นจากการเบรก และสูญเสียไปโดยเปล่าประโยชน์ในรถทั่วๆ ไป ให้สามารถนำกลับมาใช้ในรูปแบบของพลังงานไฟฟ้า โดยประจุพลังไฟกลับคืนไปยังแบตเตอรี่อย่างต่อเนื่องตลอดการขับขี่ทุกครั้งที่ใช้เบรก

32

Range Extender คือความหมายของคำว่ายืดระยะการปฏิบัติการณ์ ด้วยการใช้เครื่องยนต์มาช่วยปั่นกระแสไฟฟ้ายืดระยะทางการวิ่ง ทำให้ BMW i3 สามารถห้อได้ทั้งวันโดยไม่ต้องห่วงว่าไฟจะหมดแบตเตอรี่จนต้องจอดกลางทางเพื่อชาร์จกระแสไฟฟ้า เมื่อไฟใกล้หมดแบตฯ ระบบก็จะสั่งปลุกเจ้าจิ๋วสองสูบขึ้นมาเพื่อรับหน้าที่ชาร์จไฟใส่แบตฯ ขณะที่ยังคงขับเคลื่อนไปยังจุดหมาย เมื่อจอดรถหลังจากขับมาทั้งวัน การชาร์จไฟก็แค่เสียบปลั๊กต่อเข้ากับไฟบ้านทิ้งข้ามคืนเอาไว้ เช้าขึ้นมาขับรถออกไปทำงานโดยวิ่งด้วยมอเตอร์และสั่งยกเลิกการชาร์จไฟจากเครื่องยนต์

36

ท่ามกลางสภาพการจราจรหนาแน่นติดขัดก็แทบจะไม่ต้องพึ่งพาเครื่องยนต์สองสูบตัวจ้อยแม้แต่น้อย แบตเตอรี่ประสิทธิภาพสูงสามารถทำระยะได้มากกว่ารถไฟฟ้าทั่วไป อาจไม่แรงเท่า Tesla Model S แต่ไวพอที่จะไล่กวด MINI Cooper S ได้ก็แล้วกัน เชื้อเพลิง 1 ลิตร ที่สั่งให้เครื่องยนต์ทำหน้าที่ปั่นไฟให้กับมอเตอร์ สร้างระยะทางได้ไกลเฉลี่ย 166 กิโลเมตร ที่สำคัญมันยังมีส่วนช่วยให้โลกใบนี้เย็นขึ้นจากค่าไอเสียที่ปล่อยออกมาจากเครื่องยนต์ที่มีขนาดโตกว่าไดร์เป่าผมเล็กน้อย

น่าเสียดายที่ผมไม่รู้เนื้อรู้ตัวมาก่อนว่าจะได้ลองขับแม้เพียงแค่สั้นๆ จากย่านสุขุมวิทไปยังสวนหลวง ร.9 เลยไม่ได้เอากล้องติดตัวไปด้วยเพื่อบันทึกภาพ BMW i3 เป็นรถที่เข้ากับยุคสมัยและดูล้ำอนาคต ลูกค้าของมันคือเศรษฐีที่ชอบเทคโนโลยีใหม่ๆ ถึงแม้มันจะมีส่วนช่วยน้อยมากในการทำให้อากาศสะอาดขึ้น แต่ก็ดีกว่าไม่ได้ช่วยอะไรเลยเอาแต่ปล่อยมลพิษและก๊าซเรือนกระจกแบบที่รถยนต์ส่วนใหญ่ทำในขณะที่คุณกำลังอ่านคอลัมน์นี้.

39

BMW i3 Range Extender
170 horsepower and 184 lb-ft of torque (250 Nm)
93 mph (150 km/h) top speed
Singles-speed transmission
Weight 2,630 lbs (1,195 kilograms)
0 to 35 mph (0 – 60 km/h) in about 3.5 seconds
0 to 60 mph (0-100 km/h) in approximately seven seconds
Battery range of 80 – 100 miles (130 – 160 km)
Range extender – 650cc two-cylinder gasoline engine developing 34 hp (25 kW) to 160-180 miles (250 – 300 km)

50

Length 3,999 mm
Width (including mirrors)2,039 mm
Height 1,578 mm
Seats 4
Doors 5
Luggage Capacity (Seats Up) 260l
Gross Vehicle Weight 1,730 kg
Wheelbase 2,570 mm
Minimum Kerb weight 1,315 kg
Max. Loading Weight 415 kg
Tyre Size Rear 175/60 R19
Tyre Size SpareTyre Repair KIT
Wheel Type19″ Alloy

41

อาคม รวมสุวรรณ
E-Mail [email protected]
Facebook https://www.facebook.com/chang.arcom

ป้ายกำกับ: | |

เรื่องน่าสนใจ